วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"อยากเป็นครูแต่ไม่จบครูทำอย่างไร" >>> คนอยากเป็นครู


อยากเป็นครูแต่ไม่จบครูทำอย่างไร


มีใครอยากเป็นครูบ้างคะ อ้าวยกมือขึ้น  ดิฉันเป็นหนึ่งในนั้นที่ตอนเด็กมีความใฝ่ฝันอยากเป็นครูมากๆค่ะ
ขนาดวิชาภาษาไทยตอน ป.6 ยังจำได้เลย ให้แต่งกลอนแปดอาชีพที่อยากทำตอนโต ก็อาชีพครูนี่แหละค่ะ

ใครต่อใครถามฉันเหมือนกันว่า          วันข้างหน้าเป็นอะไรที่ใฝ่ฝัน
ฉันก็คิดวุ่นวายอยู่หลายวัน                 สุดท้ายนั้นฉันก็หวังและตั้งใจ
ฉันอยากเป็นคุณครูสอนลูกศิษย์        ให้ความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์
ให้เด็กๆทำงานปรึกษากัน                   คือความฝันของฉันอันก้าวไกล

กลอนพอจะใช้ได้ไหมคะ V_______V ความคิดสมัยประถม

ดิฉันจบทางด้านคอมพิวเตอร์มา ได้วุฒิ วทบ. งานแรกที่ทำก็เกี่ยวกับ IT แหละค่ะเป็นสายงานที่จบมา
ทำไปสักพักเริ่มมีอะไรหลายๆอย่างทำให้ตัดสินใจออกจากที่นั่น  ด้วยเหตุผลร้อยแปด ที่ตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอด  หยุดงานไป 3 เดือน เริ่มอืดแล้ว (ออกงาน เดือนธันวา 2555) จะทำงานอะไรดีนะ มาคิดออกตอนเดือนเมษายน 2556  ตัดสินใจเลยค่ะ  เคยอยากเป็นครูใช่ไหม  ลองสักตั้งซิ ก็เริ่มหาโรงเรียนใกล้ๆที่พักก่อนเลย

เราจะสอนรัฐบาลหรือเอกชนดีนะ ติ๊กๆต๊อกๆ   ถ้ารัฐไม่จบครู  ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ตายแน่ !!!! จะเลี้ยงตัวเองยังไงเนี่ย
เอกชนหละ มีหลายที่เหมือนกันนะเนี่ย ต้องสืบๆๆ ใช้ความสามารถตัวเอง ว่าแต่ละที่นี่นโยบายอย่างไร อัตราค่าจ้างงานเป็นไงบ้างนะ
มาตกลงปลงใจกับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ  เป็นโรงเรียนที่มีโรงเรียนในเครือเยอะสุดในประเทศ (ให้คนอ่านเดาแล้วกันว่าเป็นโรงเรียนอะไร) ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะสอนโรงเรียนอินเตอร์ สองภาษา หรือสามัญดีนะ  สรุปว่าเป็นสามัญแต่มีการสอนที่เป็นภาษาอังกฤษด้วยค่ะ

เข้าไปครั้งแรกเป็นช่วงของการเรียนซัมเมอร์ งานก็โอเคน่าจะเวิร์คอยู่ค่ะ ไปติดตามครูที่เค้าสอนประจำอยู่แล้ว ว่าทำอะไรยังไงบ้างนะ เราก็เก็บความรู้จากตรงนั้น ด้วยวิธีการสักเกตและการแนะนำจากครูพี่เลี้ยงค่ะ   ลืมบอกไปว่า ฉันเข้าไปเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ 1 ในวิชาที่เด็กที่นั่นไม่ชอบเอาเสียเลย

สรุปขั้นแรกนะคะ อยากเป็นครูแต่ไม่จบครู
1. หาโรงเรียนสอนให้ได้เสียก่อน รัฐหรือเอกชนก็ได้  ให้เราไปโรงเรียเลยแล้วสอบถามพูดคุยเอา
2. ระหว่างสอน  ให้นำวิชาที่เราจบปริญญา  ไปเทียบวิชามาตรฐานกับทางครุสภาค่ะ 
3. เทียบเสร็จแล้ว  ให้เราไปสอบมาตรฐานวิชาที่เหลือค่ะ ถ้าสอบผ่านทุกมาตรฐานแล้ว จะได้ใบอนุญาตการสอน 

สำหรับมาตรฐานวิชาชีพครูมี 9 มาตรฐานด้วยกันค่ะ

  1. ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู
  2. การพัฒนาหลักสูตร
  3. การจัดการเรียนรู้
  4. จิตวิทยาสำหรับครู
  5. การวัดและประเมินผลการศึกษา
  6. การบริหารจัดการในห้องเรียน
  7. การวิจัยทางการศึกษา
  8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
  9. ความเป็นครู

ใครอยากรู้รายละเอียดรบกวนช่วยโพสต์บอกทีค่ะ  จะได้มาอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้











วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

หาเงินออนไลน์ตอนที่ 2 จากการตอบแบบสอบถามและทดลองผลิตภัณฑ์

สวัสดีจ้า วันนี้มีอีกวิธีที่มาแนะนำการทำงานบนอินเตอร์เน็ต แบบได้จริงมาบอกอีกแล้วนะคะ

งานนี้เน้น >>>>>>> การตอบแบบสอบถาม แล้วก็ ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ค่ะ เช่น พวกเครื่องสำอางค์เป็นต้น

ทำได้เป็นรายได้เสริมแม้ไม่มากมายอะไร แต่อะไรที่ได้เงินก็ทำๆไปเถอะ

อันนี้เป็นค่าตอบแทนในการทำงานค่ะ



งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัคร ไม่หลอกลวงและไม่ได้เงินเยอะเวอร์นะคะ แต่ได้พอได้กินบ้าง
สนใจอย่ารอช้า สมัครได้เลยค่ะ  >>>  http://th.ipanelonline.com/register?inviter_id=1877390
เดี๋ยวมาอธิบายรายละเอียดต่างๆเพิ่มเติมจ้า วันนี้ง่วงมากไม่ไหวแล้วอะ
ใครสมัครผ่าน   http://th.ipanelonline.com/register?inviter_id=1877390  รบกวนแจ้งด้วยนะคะ
มีคำถามอะไรโพสต์ถามกันได้จ้า  หลับฝันดี  Z__Z





วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เป็นเจ้านายให้ลูกน้องนับถือ



เรื่องของเจ้านายและลูกน้องถือว่าเป็นสิ่งที่มีควบคู่กันมาอย่างช้านานตั้งแต่อดีต ที่ไหนมีลูกน้องที่นั่นต้องมีโต๊ะทำงานของเจ้านายอยู่วันยันค่ำ แต่ด้วยเพราะระบบการทำงานระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชาที่ส่วนหนึ่งคาบเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก และการเคารพนับถือระหว่างกันจากทั้ง 2 ฝ่าย การวางตัวจากทางผู้ประกอบการหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเจ้านายจึงเป็นสิ่งสำคัญมากและเทียบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดตั้งตนของความสัมพันธ์ในหน้าที่ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเลยทีเดียว ดังนั้นบรรยากาศในที่ทำงานจะดีได้ต้องเริ่มที่ผู้ประกอบการจะต้องประพฤติตนให้เป็นเจ้านายที่น่านับถือเสียก่อน

ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในระบบสายการบังคับบัญชา เพราะสายการบังคับบัญชาจะไม่ได้ผลและล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงหากผู้ที่เป็นเจ้านายซึ่งถือว่าเป็นส่วนหัวสูงสุดของแผนกหรือบริษัทมีศักยภาพต่ำกว่าลูกน้อง ซึ่งจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในตัวของผู้เป็นเจ้านายโดยทันทีเนื่องจากไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยกคนโง่มาให้ขึ้นเป็นนายของตนเอง ผู้ประกอบการหรือเจ้านายจึงควรต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เข้าใส่ตนเองเอาไว้ให้มากๆ แต่ความฉลาดที่ว่านี้ไม่ได้นับกันที่ปริญญาหรือเกรดที่สูงๆเสมอไป ขอเพียงให้ท่านมีความรู้ในสิ่งที่ทำและรับผิดชอบให้มากที่สุดในสายงานนั้นของบริษัทก็พอ ความน่าเคารพและนับถือก็จะตามมาเอง

ประสบการณ์เป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นที่เหล่าบรรดาผู้ประกอบการและเจ้านายต้องมี เพราะการสั่งสมประสบการณ์ในเรื่องของการทำงานจะเปรียบเสมือนเป็นยศในทางการบริหารที่จะสร้างความน่าเชื่อถือและเคารพให้เกิดขึ้นในสายตาของลูกน้อง และที่สำคัญคือประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะเกิดประโยชน์มากที่สุดหากสามารถนำมันมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานได้จริง นอกจากนี้ประสบการณ์ยังช่วยสอนให้ว่าจะต้องดำเนินงานอย่างไรในการทำธุรกิจอีกด้วย

ความเป็นผู้นำคือหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่เจ้านายทุกคนจะต้องมี เพราะความศรัทธาที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความนับถือในท้ายที่สุดนั้นล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากการได้สัมผัสและมองเห็นถึงบุคคลิกความเป็นผู้นำของผู้ประกอบการทั้งสิ้น ทั้งในส่วนของวิสัยทัศน์ ความกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก รวมไปถึงความรับผิดชอบด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เจ้านายเป็นจำนวนมากสามารถควบคุมลูกน้องให้อยู่ในกรอบที่ตัวเองกำหนดได้อันมีที่มาจากความเป็นผู้นำที่แฝงไว้อยู่ในบุคลิกส่วนตัวนั่นเอง

การทำงานที่ยากและมากกว่าลูกน้องถือเป็นวิธีการวัดระดับความสามารถอย่างแท้จริงว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถที่เหนือกว่าและสมควรจะได้ความนับถือจากลูกน้อง ซึ่งความสามารถในขั้นตอนนี้เป็นเรื่องของความรู้ผสมกับประสบการณ์ของการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถ่ายทอดถึงกันได้โดยง่าย โดยคุณสมบัติในข้อนี้จะเป็นการช่วยยกระดับความสามารถให้เหนือกว่าพนักงานทั่วไปหลายเท่าตัว

ไม่มีใครที่จะสามารถทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จและเป็นงานได้ดีตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้นเรื่องของการถ่ายทอดวิชาความรู้และแนะนำเทคนิคการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรจะต้องส่งผ่านในเรื่องนี้ไปให้กับลูกน้องด้วย เพราะนอกจากพนักงานจะมีความรู้มากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมแล้ว ยังมีส่วนช่วยสร้างเสริมความสัมพันธ์อันเกิดจากความช่วยเหลือและยังช่วยทำให้ลูกน้องตระหนักรู้ด้วยว่าใครคือผู้มีบุญคุณต่อการทำงานของเขาอย่างแท้จริง

ผู้ประกอบการควรที่จะต้องกำหนดกรอบให้กับตัวเองว่าสิ่งไหนคือเรื่องที่สามารถเข้าไปให้คำแนะนำและชี้แนะได้ หรืออะไรคือเรื่องส่วนตัวของลูกน้องที่ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด ซึ่งการกำหนดกรอบในข้อนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางตัวได้ถูกต้องและไม่เป็นการไปก้าวยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากจนเกินไปนัก

มนุษย์สัมพันธ์และการใช้จิตวิทยาในการพูดคุยเป็นอีกหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยสร้างความนับถือให้เกิดขึ้นในจิตใจการรับรู้ของลูกน้องได้ดีมากและเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดด้วย ซึ่งการพูดคุยในลักษณะของการสร้างมิตรภาพและการชมเชยแม้เพียงเล็กน้อยของงานที่ทำสำเร็จ ถือได้ว่าเป็นการปลูกดอกไม้ในหัวใจของลูกน้องเลยก็ว่าได้ซึ่งมันจะเจริญเติบโตและกลายสภาพเป็นความนับถือที่มีต่อตัวผู้ประกอบการ อันมีที่มาจากเมล็ดพันธุ์ที่ท่านได้ว่านและหมั่นเติมน้ำใจไมตรีให้แก่กันตลอดมา

การที่ผู้ประกอบการจะเป็นเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาที่น่าเคารพนับถือในสายตาลูกน้องได้นั้น การมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยผู้สนับสนุนในที่นี้อาจจะเป็นผู้ถือหุ้นหรือพนักงานแม้กระทั่งลูกค้าก็เป็นได้ ซึ่งคะแนนเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีพลังอำนาจในการบริหารมากขึ้นและเป็นที่เคารพยำเกรงของลูกน้องทุกๆคน โดยผู้สนับสนุนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ประกอบการสามารถนำวิธีการต่างๆก่อนหน้านี้มาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างเห็นผล
การทำตนให้เป็นเจ้านายที่น่านับถือในสายตาลูกน้องนั้นไม่มีสูตรสำเร็จ หรือสามารถสร้างขึ้นมาให้เกิดขึ้นได้โดยทันที แต่เป็นเรื่องของการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่จะต้องดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและใช้ระยะเวลา โดยความนับถือในระบบการทำงานและสายการบังคับบัญชาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีจุดเริ่มที่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นเจ้านายก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการริเริ่มที่จะเป็นผู้ให้ เพราะท้ายที่สุดพระเดชจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพระคุณเป็นตัวสนับสนุนควบคู่กันอยู่เสมอ

thx:http://incquity.com

คำถามสมัครงานยอดฮิต


10 คำถามยอดฮิต ในการสัมภาษณ์งาน 10 คำถาม ที่เค้านิยมจะถามกัน โดยมากที่คุณ ควรจะเตรียมพร้อม เพราะอย่างน้อย ถ้าไม่ได้ คำถามอื่น ก็ยังพอมีคำถามที่เราตอบแล้ว ฟังดูเข้าท่าเข้าทางบ้าง ฉะนั้นคำถามที่คุณ ควรจะรู้ มีดังต่อไปนี้
1. ทำไมคุณจึงอยากทำงานที่นี่  การที่จะทำงานทีไหนก็ตาม ผู้สัมภาษณ์จะต้องถามความเป็นมา ว่าทำไม คุณต้องการ ที่จะทำงาน ในบริษัทของเค้า และคำถามนี้ก็เป็น สิ่งที่คุณควร ทราบ และคุณก็ควรจะรู้ถึงเหตุผลของคุณอย่างแท้จริง ไม่ไช่ตอบไปสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นคุณอาจจะตอบว่า "ดิฉันมีความสนใจในระบบการทำงานของที่นี่มาก และก็ทราบมาว่า ทางบริษัท ได้เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคน ได้แสดงความสามารถ ได้อย่างเต็มที่ค่ะ และดิฉันยังทราบมาอีกว่า ที่บริษัทรับฟังข้อเสนอ ของพนักงานทุกคน และ พร้อมจะแก้ไขถ้าข้อเสนอนั้น จะสามารถ พัฒนา ให้บริษัทให้มีความมั่นคง และหน้าเชื่อถือยิ่งขึ้นค่ะ"
2.ทำไมคุณถึงออกจากงานที่เคยทำอยู่ คำถามนี้จะง่ายมาก สำหรับน้อง ๆ ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน แต่จะเป็นคำถาม ที่ยากมาก สำหรับคนที่เคย มีประสบการณ์ ในการทำงานมาแล้ว และเป็น คำถามที่ตรงประเด็น มากเลยทีเดียว เพราะหากคุณพอใจ ต่องานที่ทำอยู่ คุณคงไม่ต้องหางานใหม่ ทำหรอกจริงไหมล่ะ คำถามนี้จึงเป็นคำถาม ที่คุณ ต้องเตรียมตัวอย่างมาก เลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น "ผมอยากจะเรียนรู้ถึงงานสายใหม่ ที่น่าจะเหมาะสมกับตัวผม มากกว่า ที่ผม เคยทำอยู่ครับ และผมคิดว่างานที่นี้ เหมาะสมกับผม และผม พร้อมที่จะทำงาน ตรงนี้มากที่สุด" และที่สำคัญ คุณห้ามนำข้อเสีย ที่คุณได้รู้จาก บริษัทเก่า มาพูดเด็ดขาด เพราะสิ่งนั้น อาจทำให้คะแนน แห่งความเชื่อถือ ของคุณ ลดลงก็ได้
3. ลองเล่าประวัติของคุณแบบย่อ ๆ
            การที่จะทำงานร่วมกันได้นั้น สิ่งที่สำคัญ ก็จะเป็นเรี่อง ข้อมูลส่วนตัว ประวัติ ความเป็นมา เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถบ่งบอกถึง นิสัยใจคอของคุณได้ และ สามารถบอกถึง ความเหมาะสม กับงานด้านนี้ของคุณ ในการตอบคำถาม จึงควรอยู่ในแง่ของ การทำงาน บุคลิกภาพส่วนตัว และแง่คิดของชีวิต บ้างนิดหน่อย คุณไม่ควรจะเล่าประวัติชีวิตของคุณให้มากเกินไป เพราะการพูดมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวคุณเอง เช่น " ผมเป็นคนเคารพเวลา ไม่ชอบให้ใครรอ เพราะฉะนั้นเวลาในการ ทำงานของผม จะตรงต่อเวลาเสมอ แต่ผมก็มีข้อเสียนะครับ คือเวลา ที่ผมรอใคร แล้วคนคนนั้น ไม่มาสักที ผมก็มักจะควบคุมอารมณ์ ของตัวเอง ไม่ค่อยได้ทั้ง ๆ ที่เหตุผลของเค้า เป็นเหตุผลที่น่าฟังมาก ก็ตาม และตอนนี้ผมกำลังหาวิธี เพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องของผมอยู่ครับ
4. คุณคิดจะทำอะไรให้กับบริษัทมากที่สุด
            คำถามนี้จะทำให้คุณบอกถึง ความสามารถของคุณ ที่จะทำให้กับบริษัท ได้มากน้อยแค่ไหน ในการบอกถึงคุณสมบัติ ที่คุณสามารถทำได้นั้น ไม่ถือว่า เป็นการโอ้อวดว่า คุณเก่งแต่อย่างไร แต่สิ่งที่คุณพูดนั้น จะสามารถสร้าง น้ำหนัก ในการตอบคำถามให้แก่คุณได้
5. จะมีปัญหาอะไรไหมหากต้องทำงานล่วงเวลา
            ล่วงเวลา เจอคำถามนี้เข้า ก็ทำให้อึ้งเอาการ อยู่ทีเดียว ก็แหมใครอยากจะไป ทำงาน ล่วงเวลา หากไม่ได้ อะไรตอบแทนบ้างเลย ฉะนั้นในการตอบคำถามนี้ คุณควรจะกล่าวถึง ความพร้อมเสมอ ในการทำงานล่วงเวลา ถึงแม้ว่า ค่าตอบแทน อาจจะน้อยมาก หรือในการทำงานล่วงเวลา จะไปตรงกับ ตารางนัดสำคัญ กับคนพิเศษของคุณก็ตาม "เพื่อให้งานประสบความสำเร็จ ผมก็พร้อมจะทำงาน ล่วงเวลาเสมอ"
6. เรื่องทั่ว ๆ ไป
            ไป ในการสัมภาษณ์คุณอาจจะต้องพูดถึง เรื่องปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และค่านิยม ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เป็นข่าว หนังสือพิมพ์ คำถามนี้จะแสดงให้เห็นว่า คุณให้ความสนใจกับข่าวสาร บ้านเมือง ไม่เป็นคนที่ตกข่าว สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ที่เกี่ยวกับ เหตุการณ์ปัจจุบัน การทราบข้อมูลเหล่านี้ อาจทำให้คะแนน การสัมภาษณ์ ของคุณ เพิ่มขึ้นมาก็ได้
7. ความใฝ่ฝันและโครงการในอนาคต   เป็นการพิจารณาถึง ความเอาจริงเอาจังของคุณ เพราะหากคุณสามารถบอกถึง ทิศทางในอนาคตได้ นั่นก็แสดงว่าคุณสามารถรับผิดชอบ ในงานที่ได้รับ มอบหมายอย่างดีทีเดียว ก็ขนาดอนาคตที่ไม่มีใคร สามารถรู้ได้ คุณยัง วางแผนสู่อนาคต ได้อย่างเป็นระบบ นั่นก็หมายถึงว่า คุณไม่ได้มีความคิด ย่ำอยู่กับที่จริงไหม
8. คุณมีงานอดิเรกอะไรไหม  คำถามในข้อนี้จะเจาะประเด็นว่า คุณรู้จักแบ่งเวลาของคุณ ให้เกิดประโยชน์ มากน้อยแค่ไหน และแสดงให้เห็นถึง บุคลิกของคุณว่า คุณเป็นคนอย่างไร ร่าเริง เปิดเผย หรือเก็บตัว เช่น ถ้าคุณตอบว่า คุณชอบอ่านหนังสือ คุณอาจจะ ถูกถาม ต่อว่า หนังสือเล่มล่าสุดที่คุณอ่าน คือเรื่องอะไร และอาจให้คุณวิจารณ์ ถึงหนังสือเล่มนั้น ในการถามคำถามนี้ ยังสามารถได้รู้ถึง ความละเอียด อ่อนของคุณ การรู้จักสังเกต การมีปฏิภาณไหวพริบ กระทั่ง การใช้ชีวิต ร่วมกับคนอื่น ๆ อีกด้วย
9. คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่   เป็นเรื่องที่ยากมาก ในการตอบคำถามนี้ ถ้าหากว่า งานที่คุณไปสมัคร ระบุ เงินเดือนไว้แล้ว ก็เกิดความสบายใจหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ระบุถึง อัตรา ค่าจ้างเลย ก็แย่หน่อย ทางที่ดีคุณควรตอบ ตามอัตราเงินเดือน ที่คนทั่วไป ได้รับกัน เช่น อาจจะถามเพื่อน ที่ทำงาน เหมือนกับตำแหน่ง ที่คุณสมัคร หรือตอบตาม เงินเดือนราชการ ที่คุณทราบก็ได้ แต่ถ้าหากผู้สัมภาษณ์ เสนอเงินเดือน มาสูง หรือต่ำกว่า อัตราที่คุณรู้ คุณก็อย่าพึ่งตอบตกลง คุณอาจจะขอเวลาในการ พิจารณาสัก 3 วัน แล้วค่อยให้คำตอบ เพราะถ้า เกิดคุณตอบตกลงไปแล้ว และคุณมาขอขึ้นทีหลังก็เหมือนกับว่า คุณเป็นคนโลเล ไม่น่าเชื่อถือก็ได้
10.  คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกไหมหรือมีอะไรจะสอบถามไหม  เจอคำถามนี้ก็บ่งบอกว่า การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง แต่ในการตอบคำถาม ข้อสุดท้ายนี้ จะตอบอย่างไรดี ที่จะแสดงว่า เราไม่เป็นคนไม่ฉลาดออกมา เช่น คุณอาจถามย้ำ เรื่องเวลาการทำงานก็ได้ "ผมอยากทราบเวลา ที่แน่นอน ในการทำงานของผมครับ" หรือคุณอาจจะไม่ต้องการถามอะไรก็ได้ เพราะการ ไม่ได้ถามก็เท่ากับว่า คุณได้ทราบข้อมูล ของบริษัทมากพอแล้ว แต่ถ้าเกิด สงสัยจริง ๆ ก็ควรตั้ง คำถามที่ฟังแล้วดูดี และถูกใจนายจ้างของคุณ ให้มากที่สุด

            คำถามที่พูดมาข้างต้นนี้ดู ดูแล้วไม่ยากเลยใช่ไหม สำหรับการเตรียมตัว ในการ สัมภาษณ์ของคุณ แค่คุณมีความพร้อมกับ 10 คำถามเด็ด ๆ นี้ คุณก็สามารถ ชนะใจ กรรมการ ได้แล้ว อย่างน้อยมันคงมีสักคำถามล่ะ ที่ตรงกับการเตรียมตัวของคุณ และสร้าง ความมั่นใจ ในการตอบคำถามของคุณได้ แล้วอย่าลืมนำไป ปฏิบัติดูนะ เพราะสิ่งนี้ เป็นเส้นทาง ที่จะทำให้คุณสามารถได้รับ คัดเลือกเป็นพนักงาน ในบริษัทที่คุณใฝ่ฝัน ได้อย่างภาคภูมิใจ
แหล่งที่มา : http://www.friendjob.com/tip/11.php

thx:studentloan.or.th

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

แพนด้า คืออะไร (ที่ไม่ใช่หมีแพนด้าจ้า)

หลายคนคงเคยได้ยินกับ คำว่าแพนด้า บ่อยๆ และรู้ความหมายว่าคืออะไร 

แต่ก็มีบางคนก็ไม่รู้จักมันเหมือนกันฉันเองก็เป็นคนนึงที่ได้ยินคำนี้เหมือนกัน  

อยากรู้ว่าว่ามันคืออะไร เพราะมันคงไม่ใช่หมีแพนด้าแน่นอน

จึงเริ่มหาข้อมูล และก็สอบถามจากผู้ที่รู้จักได้บอกไว้ว่า  

"แพนด้า"  >>>  ชื่อเต็มๆ คือ Google panda ” เป็นชื่อเรียกของ 

อัลกอริทึม google ที่ทำออกมาเพื่อการคัดกรองเนื้อหาเว็บไซค์ 

และจัดอันดับให้กับเว็บไซค์ ซึ่งเว็บไซค์ที่ดีมีคุณภาพอัพเดทสุด

ตรงกับที่มีคนต้องการค้นที่สุด จะได้อยู่ในอันดับที่ดี

สำหรับเว็บไซค์ที่มีคุณภาพต่ำๆ (Low Quality Site) คือ 

>> ทำการก็อปปี้เนื้อหาข้อมูลมากจากเว็บไซต์อื่นๆ(Duplicate Content) 

จะถูกตัดออกจากการค้นหาใน google หรือจะไปอยู่ในอันดับท้ายๆ 

หรือหน้าหลังๆของการค้นหาของ google

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

รักแล้วอย่าวางใจ เผื่อเจ็บไว้บ้างก็ดี

หลังจากกลับบ้านก็ได้พูดคุยกับแม่ตามภาษาแม่ลูกกันปกติ สักครู่ก็มีพี่ข้างบ้านแบ่งกับข้าวมาให้ที่บ้าน

แล้วก็พูดคุยกันสักพัก จนไปถึง "เรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งที่ฉันฟังแล้วไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย มันเศร้าเกินกว่าจะทำใจ"

เรื่องมีอยู่ว่า  >>>>> มีครอบครัวหนึ่ง มีปู่ย่า ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายสองคน (ลูกของลูกชาย+ลูกสะใภ้)

ครอบครัวนี้อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับฉัน เป็นบ้านทาวน์เฮ้าสองชั้นหรือสามชั้นจำไม่ได้ ห่างกันประมาณร้อยเมตรเท่านั้น

คุณปู่เป็นทหารยศใหญ่เหมือนกัน ส่วนคุณย่าเป็นแม่บ้านรับจ้างซักผ้า ลูกชายเป็นบุรุษพยาบาล และลูกสะใภ้เป็นพยาบาล

ประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง (บ้านเกิดฉันเอง)


ฉันขอตั้งชื่อให้กับลูกชายว่า >>> เบล ฉันเรียกเค้าว่าพี่เบล

และก็ลูกสะใภ้ว่า >>> นิด แต่ฉันขอเรียกว่าพี่นิดแล้วกันติดปากมาแต่เด็ก

สองคนนี้ดูจากภายนอกรักกันมาก  ฐานะทางบ้านผู้หญิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เธอเป็นคนตั้งใจเรียนจึงทำให้สำเร็จการศึกษา

และเป็นพยาบาลสมใจ ระหว่างนั้นเธอก็คบหาดูใจกับพี่เบล และเข้าไปอยู่ในบ้านพี่เค้าในฐานะภรรยา


พ่อแม่พี่เบลก็ยอมรับเธอ เพื่อความเจริญในหน้าที่การงานจากพยาบาล พี่นิดจึงไปเรียนต่อเพื่อเป็นหัวหน้าตึกที่ วพบ.ราชรี

พี่เบลก็ไปส่งไปรับทุกวันหลังเลิกงานที่โรงพยาบาล แล้วก็ไปเรียนต่อจนจบแล้วได้เป็นหัวหน้าตึกตามตั้งใจ

พี่เบลเป็นผู้ชายไม่หล่อ แต่ดูอบอุ่น ด้วยที่พ่อเป็นทหารและมียศใหญ่จึงทำให้ดูภูมิฐาน

พี่นิดเป็นคนสวยผิวขาวหุ่นดี สมกับเป็นสาวชาวเน้อ

หลังจากนั้นไม่นาน พี่ทั้งสองก็มีลูกชื่อน้องนาย กับน้องคุณ เป็นผู้ชายทั้งคู่น่ารักมากเราเองก็เคยเล่นด้วย

คุณย่าแม่ของพี่เบลเห็นว่าที่อยู่เริ่มคับแคบแล้ว จึงไปซื้อบ้านอีกที่เพื่อให้ลูกชายลูกสะใภ้และหลานๆได้อยู่กันอย่างสบาย

มีที่วิ่งเล่น ทำกิจกรรมต่างๆกัน ด้วยความรักลูกหลานนั่นเอง

เมื่อย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ได้สองสามอาทิตย์ก็มีหนุ่มข้างบ้าน หล่อรวยเป็นนักธุรกิจและเป็นคนเหนือ

มาคุยกับพี่นิด พอแม่ของหนุ่มคนนั้นมาจากบ้านต่างจังหวัด เรียกพี่นิดเข้าไปคุยในบ้านเขาด้วย ซึ่งไม่รู้คุยอะไรกัน

ก็เริ่มมีอะไรเปลี่ยนไป จากที่พี่เบลจะไปทำงานกับพี่นิดด้วยกัน หนุ่มคนนั้นก็มารับพี่นิดที่หน้าบ้าน เลิกงานก็รับพี่นิดจากโรงพยาบาล

จากนั้นสองสามวันก็เก็บเสื้อผ้ากระเป๋าไปนอนกับผู้ชายคนนั้นซึ่งอยู่ข้างบ้านตัวเองอย่างไปรู้สึกอะไร

พอลูก น้องนาย อายุ 10 ขวบแล้ไม่เจอแม่ ก็ถามย่าว่าแม่ไปไหนไม่กลับบ้าน ย่าก็ตอบว่าแม่เข้าเวร

แม่กลับบ้านมาแล้วแต่ลูกหลับ ตอนเช้าก็ออกไปแล้วหนูตื่นไม่ทัน โดยไม่รู้เลยว่าแม่ไม่ได้กลับบ้านเพราะอยู่ข้างบ้านนี่เอง

ส่วนพี่เบลเองก็เสียใจมาก เพราะอยู่ข้างบ้านต้องเห็นอะไรตำตาตำใจที่เมียตัวเองไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น

โดยไม่ได้พูดคุยอะไรกับพี่เบลเลย แถมทำงานก็ทำที่เดียวกันอีก ต้องเห็นเค้ามารับเมียตัวเองต่อหน้าต่อตา

ทุกวันนี้หลังจากเลิกงานที่โรงพยาบาลแล้ว  พี่เบลจะมาขับวินมอเตอร์ไซค์แถวหน้าปากซอยบ้านเดิม

คงจะไม่อยากอยู่บ้านที่ให้เจ็บปวดหัวใจและไม่รู้จะตอบคำถามลูกอย่างไรดี

พี่เบลพูดแม่ของเค้าว่า "เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านหลังเก่ามีความสุขมากเพราะได้พานิดพาลูกไปเที่ยวกันทุกอาทิตย์

ย้ายมาที่นี่แม่บ้านจะใหญ่พื้นที่จะมากแต่มันไม่มีความสุขเลย ไม่คิดว่านิดจะทำแบบนี้กับเค้าได้"


ฉันเองก็ไม่เข้าใจพี่นิดเหมือนกัน แสดงว่าที่ผ่านมาไม่เคยรักพี่เบลเลยใช่ไหมอยู่กับเค้าก็หวังแต่ประโยชน์จากเค้าใช่ไหม

จิตใจทำด้วยอะไรกัน  ไม่อายชาวบ้านหรือคนอื่นบ้างเลยหรอ ไม่รักลูกเลยหรือไงแล้วถ้าลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชา


ที่โรงพยาบาลรู้ไม่กลัวจะเป็นขี้ปากหรอ เราเองก็ไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรในเรื่องนี้

แต่สงสารเด็กน้อยที่แม่ตัวเองมาทิ้งไปอย่างนี้ สงสารพี่เบลที่โดนทำร้ายความรักอย่างไม่มีเยื่อใย


>>>>>  จากชีวิตคู่ที่มีความสุข อยู่ดีๆก็เกิดเรื่องแบบนี้ ใครจะรับได้บ้าง ชีวิตคนเราอะไรๆก็ไม่แน่นอนจริงๆ

"รักแล้วอย่าวางใจ เผื่อเจ็บไว้บ้างก็ดี"









make-money-468x60