วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"อยากเป็นครูแต่ไม่จบครูทำอย่างไร" >>> คนอยากเป็นครู


อยากเป็นครูแต่ไม่จบครูทำอย่างไร


มีใครอยากเป็นครูบ้างคะ อ้าวยกมือขึ้น  ดิฉันเป็นหนึ่งในนั้นที่ตอนเด็กมีความใฝ่ฝันอยากเป็นครูมากๆค่ะ
ขนาดวิชาภาษาไทยตอน ป.6 ยังจำได้เลย ให้แต่งกลอนแปดอาชีพที่อยากทำตอนโต ก็อาชีพครูนี่แหละค่ะ

ใครต่อใครถามฉันเหมือนกันว่า          วันข้างหน้าเป็นอะไรที่ใฝ่ฝัน
ฉันก็คิดวุ่นวายอยู่หลายวัน                 สุดท้ายนั้นฉันก็หวังและตั้งใจ
ฉันอยากเป็นคุณครูสอนลูกศิษย์        ให้ความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์
ให้เด็กๆทำงานปรึกษากัน                   คือความฝันของฉันอันก้าวไกล

กลอนพอจะใช้ได้ไหมคะ V_______V ความคิดสมัยประถม

ดิฉันจบทางด้านคอมพิวเตอร์มา ได้วุฒิ วทบ. งานแรกที่ทำก็เกี่ยวกับ IT แหละค่ะเป็นสายงานที่จบมา
ทำไปสักพักเริ่มมีอะไรหลายๆอย่างทำให้ตัดสินใจออกจากที่นั่น  ด้วยเหตุผลร้อยแปด ที่ตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอด  หยุดงานไป 3 เดือน เริ่มอืดแล้ว (ออกงาน เดือนธันวา 2555) จะทำงานอะไรดีนะ มาคิดออกตอนเดือนเมษายน 2556  ตัดสินใจเลยค่ะ  เคยอยากเป็นครูใช่ไหม  ลองสักตั้งซิ ก็เริ่มหาโรงเรียนใกล้ๆที่พักก่อนเลย

เราจะสอนรัฐบาลหรือเอกชนดีนะ ติ๊กๆต๊อกๆ   ถ้ารัฐไม่จบครู  ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ตายแน่ !!!! จะเลี้ยงตัวเองยังไงเนี่ย
เอกชนหละ มีหลายที่เหมือนกันนะเนี่ย ต้องสืบๆๆ ใช้ความสามารถตัวเอง ว่าแต่ละที่นี่นโยบายอย่างไร อัตราค่าจ้างงานเป็นไงบ้างนะ
มาตกลงปลงใจกับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ  เป็นโรงเรียนที่มีโรงเรียนในเครือเยอะสุดในประเทศ (ให้คนอ่านเดาแล้วกันว่าเป็นโรงเรียนอะไร) ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะสอนโรงเรียนอินเตอร์ สองภาษา หรือสามัญดีนะ  สรุปว่าเป็นสามัญแต่มีการสอนที่เป็นภาษาอังกฤษด้วยค่ะ

เข้าไปครั้งแรกเป็นช่วงของการเรียนซัมเมอร์ งานก็โอเคน่าจะเวิร์คอยู่ค่ะ ไปติดตามครูที่เค้าสอนประจำอยู่แล้ว ว่าทำอะไรยังไงบ้างนะ เราก็เก็บความรู้จากตรงนั้น ด้วยวิธีการสักเกตและการแนะนำจากครูพี่เลี้ยงค่ะ   ลืมบอกไปว่า ฉันเข้าไปเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ 1 ในวิชาที่เด็กที่นั่นไม่ชอบเอาเสียเลย

สรุปขั้นแรกนะคะ อยากเป็นครูแต่ไม่จบครู
1. หาโรงเรียนสอนให้ได้เสียก่อน รัฐหรือเอกชนก็ได้  ให้เราไปโรงเรียเลยแล้วสอบถามพูดคุยเอา
2. ระหว่างสอน  ให้นำวิชาที่เราจบปริญญา  ไปเทียบวิชามาตรฐานกับทางครุสภาค่ะ 
3. เทียบเสร็จแล้ว  ให้เราไปสอบมาตรฐานวิชาที่เหลือค่ะ ถ้าสอบผ่านทุกมาตรฐานแล้ว จะได้ใบอนุญาตการสอน 

สำหรับมาตรฐานวิชาชีพครูมี 9 มาตรฐานด้วยกันค่ะ

  1. ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู
  2. การพัฒนาหลักสูตร
  3. การจัดการเรียนรู้
  4. จิตวิทยาสำหรับครู
  5. การวัดและประเมินผลการศึกษา
  6. การบริหารจัดการในห้องเรียน
  7. การวิจัยทางการศึกษา
  8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
  9. ความเป็นครู

ใครอยากรู้รายละเอียดรบกวนช่วยโพสต์บอกทีค่ะ  จะได้มาอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้











วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

หาเงินออนไลน์ตอนที่ 2 จากการตอบแบบสอบถามและทดลองผลิตภัณฑ์

สวัสดีจ้า วันนี้มีอีกวิธีที่มาแนะนำการทำงานบนอินเตอร์เน็ต แบบได้จริงมาบอกอีกแล้วนะคะ

งานนี้เน้น >>>>>>> การตอบแบบสอบถาม แล้วก็ ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ค่ะ เช่น พวกเครื่องสำอางค์เป็นต้น

ทำได้เป็นรายได้เสริมแม้ไม่มากมายอะไร แต่อะไรที่ได้เงินก็ทำๆไปเถอะ

อันนี้เป็นค่าตอบแทนในการทำงานค่ะ



งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัคร ไม่หลอกลวงและไม่ได้เงินเยอะเวอร์นะคะ แต่ได้พอได้กินบ้าง
สนใจอย่ารอช้า สมัครได้เลยค่ะ  >>>  http://th.ipanelonline.com/register?inviter_id=1877390
เดี๋ยวมาอธิบายรายละเอียดต่างๆเพิ่มเติมจ้า วันนี้ง่วงมากไม่ไหวแล้วอะ
ใครสมัครผ่าน   http://th.ipanelonline.com/register?inviter_id=1877390  รบกวนแจ้งด้วยนะคะ
มีคำถามอะไรโพสต์ถามกันได้จ้า  หลับฝันดี  Z__Z





วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เป็นเจ้านายให้ลูกน้องนับถือ



เรื่องของเจ้านายและลูกน้องถือว่าเป็นสิ่งที่มีควบคู่กันมาอย่างช้านานตั้งแต่อดีต ที่ไหนมีลูกน้องที่นั่นต้องมีโต๊ะทำงานของเจ้านายอยู่วันยันค่ำ แต่ด้วยเพราะระบบการทำงานระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชาที่ส่วนหนึ่งคาบเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก และการเคารพนับถือระหว่างกันจากทั้ง 2 ฝ่าย การวางตัวจากทางผู้ประกอบการหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเจ้านายจึงเป็นสิ่งสำคัญมากและเทียบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดตั้งตนของความสัมพันธ์ในหน้าที่ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเลยทีเดียว ดังนั้นบรรยากาศในที่ทำงานจะดีได้ต้องเริ่มที่ผู้ประกอบการจะต้องประพฤติตนให้เป็นเจ้านายที่น่านับถือเสียก่อน

ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในระบบสายการบังคับบัญชา เพราะสายการบังคับบัญชาจะไม่ได้ผลและล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงหากผู้ที่เป็นเจ้านายซึ่งถือว่าเป็นส่วนหัวสูงสุดของแผนกหรือบริษัทมีศักยภาพต่ำกว่าลูกน้อง ซึ่งจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในตัวของผู้เป็นเจ้านายโดยทันทีเนื่องจากไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยกคนโง่มาให้ขึ้นเป็นนายของตนเอง ผู้ประกอบการหรือเจ้านายจึงควรต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เข้าใส่ตนเองเอาไว้ให้มากๆ แต่ความฉลาดที่ว่านี้ไม่ได้นับกันที่ปริญญาหรือเกรดที่สูงๆเสมอไป ขอเพียงให้ท่านมีความรู้ในสิ่งที่ทำและรับผิดชอบให้มากที่สุดในสายงานนั้นของบริษัทก็พอ ความน่าเคารพและนับถือก็จะตามมาเอง

ประสบการณ์เป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นที่เหล่าบรรดาผู้ประกอบการและเจ้านายต้องมี เพราะการสั่งสมประสบการณ์ในเรื่องของการทำงานจะเปรียบเสมือนเป็นยศในทางการบริหารที่จะสร้างความน่าเชื่อถือและเคารพให้เกิดขึ้นในสายตาของลูกน้อง และที่สำคัญคือประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะเกิดประโยชน์มากที่สุดหากสามารถนำมันมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานได้จริง นอกจากนี้ประสบการณ์ยังช่วยสอนให้ว่าจะต้องดำเนินงานอย่างไรในการทำธุรกิจอีกด้วย

ความเป็นผู้นำคือหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่เจ้านายทุกคนจะต้องมี เพราะความศรัทธาที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความนับถือในท้ายที่สุดนั้นล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากการได้สัมผัสและมองเห็นถึงบุคคลิกความเป็นผู้นำของผู้ประกอบการทั้งสิ้น ทั้งในส่วนของวิสัยทัศน์ ความกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก รวมไปถึงความรับผิดชอบด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เจ้านายเป็นจำนวนมากสามารถควบคุมลูกน้องให้อยู่ในกรอบที่ตัวเองกำหนดได้อันมีที่มาจากความเป็นผู้นำที่แฝงไว้อยู่ในบุคลิกส่วนตัวนั่นเอง

การทำงานที่ยากและมากกว่าลูกน้องถือเป็นวิธีการวัดระดับความสามารถอย่างแท้จริงว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถที่เหนือกว่าและสมควรจะได้ความนับถือจากลูกน้อง ซึ่งความสามารถในขั้นตอนนี้เป็นเรื่องของความรู้ผสมกับประสบการณ์ของการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถ่ายทอดถึงกันได้โดยง่าย โดยคุณสมบัติในข้อนี้จะเป็นการช่วยยกระดับความสามารถให้เหนือกว่าพนักงานทั่วไปหลายเท่าตัว

ไม่มีใครที่จะสามารถทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จและเป็นงานได้ดีตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้นเรื่องของการถ่ายทอดวิชาความรู้และแนะนำเทคนิคการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรจะต้องส่งผ่านในเรื่องนี้ไปให้กับลูกน้องด้วย เพราะนอกจากพนักงานจะมีความรู้มากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมแล้ว ยังมีส่วนช่วยสร้างเสริมความสัมพันธ์อันเกิดจากความช่วยเหลือและยังช่วยทำให้ลูกน้องตระหนักรู้ด้วยว่าใครคือผู้มีบุญคุณต่อการทำงานของเขาอย่างแท้จริง

ผู้ประกอบการควรที่จะต้องกำหนดกรอบให้กับตัวเองว่าสิ่งไหนคือเรื่องที่สามารถเข้าไปให้คำแนะนำและชี้แนะได้ หรืออะไรคือเรื่องส่วนตัวของลูกน้องที่ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด ซึ่งการกำหนดกรอบในข้อนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางตัวได้ถูกต้องและไม่เป็นการไปก้าวยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากจนเกินไปนัก

มนุษย์สัมพันธ์และการใช้จิตวิทยาในการพูดคุยเป็นอีกหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยสร้างความนับถือให้เกิดขึ้นในจิตใจการรับรู้ของลูกน้องได้ดีมากและเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดด้วย ซึ่งการพูดคุยในลักษณะของการสร้างมิตรภาพและการชมเชยแม้เพียงเล็กน้อยของงานที่ทำสำเร็จ ถือได้ว่าเป็นการปลูกดอกไม้ในหัวใจของลูกน้องเลยก็ว่าได้ซึ่งมันจะเจริญเติบโตและกลายสภาพเป็นความนับถือที่มีต่อตัวผู้ประกอบการ อันมีที่มาจากเมล็ดพันธุ์ที่ท่านได้ว่านและหมั่นเติมน้ำใจไมตรีให้แก่กันตลอดมา

การที่ผู้ประกอบการจะเป็นเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาที่น่าเคารพนับถือในสายตาลูกน้องได้นั้น การมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยผู้สนับสนุนในที่นี้อาจจะเป็นผู้ถือหุ้นหรือพนักงานแม้กระทั่งลูกค้าก็เป็นได้ ซึ่งคะแนนเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีพลังอำนาจในการบริหารมากขึ้นและเป็นที่เคารพยำเกรงของลูกน้องทุกๆคน โดยผู้สนับสนุนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ประกอบการสามารถนำวิธีการต่างๆก่อนหน้านี้มาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อย่างเห็นผล
การทำตนให้เป็นเจ้านายที่น่านับถือในสายตาลูกน้องนั้นไม่มีสูตรสำเร็จ หรือสามารถสร้างขึ้นมาให้เกิดขึ้นได้โดยทันที แต่เป็นเรื่องของการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่จะต้องดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและใช้ระยะเวลา โดยความนับถือในระบบการทำงานและสายการบังคับบัญชาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีจุดเริ่มที่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นเจ้านายก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการริเริ่มที่จะเป็นผู้ให้ เพราะท้ายที่สุดพระเดชจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพระคุณเป็นตัวสนับสนุนควบคู่กันอยู่เสมอ

thx:http://incquity.com

คำถามสมัครงานยอดฮิต


10 คำถามยอดฮิต ในการสัมภาษณ์งาน 10 คำถาม ที่เค้านิยมจะถามกัน โดยมากที่คุณ ควรจะเตรียมพร้อม เพราะอย่างน้อย ถ้าไม่ได้ คำถามอื่น ก็ยังพอมีคำถามที่เราตอบแล้ว ฟังดูเข้าท่าเข้าทางบ้าง ฉะนั้นคำถามที่คุณ ควรจะรู้ มีดังต่อไปนี้
1. ทำไมคุณจึงอยากทำงานที่นี่  การที่จะทำงานทีไหนก็ตาม ผู้สัมภาษณ์จะต้องถามความเป็นมา ว่าทำไม คุณต้องการ ที่จะทำงาน ในบริษัทของเค้า และคำถามนี้ก็เป็น สิ่งที่คุณควร ทราบ และคุณก็ควรจะรู้ถึงเหตุผลของคุณอย่างแท้จริง ไม่ไช่ตอบไปสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นคุณอาจจะตอบว่า "ดิฉันมีความสนใจในระบบการทำงานของที่นี่มาก และก็ทราบมาว่า ทางบริษัท ได้เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคน ได้แสดงความสามารถ ได้อย่างเต็มที่ค่ะ และดิฉันยังทราบมาอีกว่า ที่บริษัทรับฟังข้อเสนอ ของพนักงานทุกคน และ พร้อมจะแก้ไขถ้าข้อเสนอนั้น จะสามารถ พัฒนา ให้บริษัทให้มีความมั่นคง และหน้าเชื่อถือยิ่งขึ้นค่ะ"
2.ทำไมคุณถึงออกจากงานที่เคยทำอยู่ คำถามนี้จะง่ายมาก สำหรับน้อง ๆ ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน แต่จะเป็นคำถาม ที่ยากมาก สำหรับคนที่เคย มีประสบการณ์ ในการทำงานมาแล้ว และเป็น คำถามที่ตรงประเด็น มากเลยทีเดียว เพราะหากคุณพอใจ ต่องานที่ทำอยู่ คุณคงไม่ต้องหางานใหม่ ทำหรอกจริงไหมล่ะ คำถามนี้จึงเป็นคำถาม ที่คุณ ต้องเตรียมตัวอย่างมาก เลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น "ผมอยากจะเรียนรู้ถึงงานสายใหม่ ที่น่าจะเหมาะสมกับตัวผม มากกว่า ที่ผม เคยทำอยู่ครับ และผมคิดว่างานที่นี้ เหมาะสมกับผม และผม พร้อมที่จะทำงาน ตรงนี้มากที่สุด" และที่สำคัญ คุณห้ามนำข้อเสีย ที่คุณได้รู้จาก บริษัทเก่า มาพูดเด็ดขาด เพราะสิ่งนั้น อาจทำให้คะแนน แห่งความเชื่อถือ ของคุณ ลดลงก็ได้
3. ลองเล่าประวัติของคุณแบบย่อ ๆ
            การที่จะทำงานร่วมกันได้นั้น สิ่งที่สำคัญ ก็จะเป็นเรี่อง ข้อมูลส่วนตัว ประวัติ ความเป็นมา เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถบ่งบอกถึง นิสัยใจคอของคุณได้ และ สามารถบอกถึง ความเหมาะสม กับงานด้านนี้ของคุณ ในการตอบคำถาม จึงควรอยู่ในแง่ของ การทำงาน บุคลิกภาพส่วนตัว และแง่คิดของชีวิต บ้างนิดหน่อย คุณไม่ควรจะเล่าประวัติชีวิตของคุณให้มากเกินไป เพราะการพูดมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวคุณเอง เช่น " ผมเป็นคนเคารพเวลา ไม่ชอบให้ใครรอ เพราะฉะนั้นเวลาในการ ทำงานของผม จะตรงต่อเวลาเสมอ แต่ผมก็มีข้อเสียนะครับ คือเวลา ที่ผมรอใคร แล้วคนคนนั้น ไม่มาสักที ผมก็มักจะควบคุมอารมณ์ ของตัวเอง ไม่ค่อยได้ทั้ง ๆ ที่เหตุผลของเค้า เป็นเหตุผลที่น่าฟังมาก ก็ตาม และตอนนี้ผมกำลังหาวิธี เพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องของผมอยู่ครับ
4. คุณคิดจะทำอะไรให้กับบริษัทมากที่สุด
            คำถามนี้จะทำให้คุณบอกถึง ความสามารถของคุณ ที่จะทำให้กับบริษัท ได้มากน้อยแค่ไหน ในการบอกถึงคุณสมบัติ ที่คุณสามารถทำได้นั้น ไม่ถือว่า เป็นการโอ้อวดว่า คุณเก่งแต่อย่างไร แต่สิ่งที่คุณพูดนั้น จะสามารถสร้าง น้ำหนัก ในการตอบคำถามให้แก่คุณได้
5. จะมีปัญหาอะไรไหมหากต้องทำงานล่วงเวลา
            ล่วงเวลา เจอคำถามนี้เข้า ก็ทำให้อึ้งเอาการ อยู่ทีเดียว ก็แหมใครอยากจะไป ทำงาน ล่วงเวลา หากไม่ได้ อะไรตอบแทนบ้างเลย ฉะนั้นในการตอบคำถามนี้ คุณควรจะกล่าวถึง ความพร้อมเสมอ ในการทำงานล่วงเวลา ถึงแม้ว่า ค่าตอบแทน อาจจะน้อยมาก หรือในการทำงานล่วงเวลา จะไปตรงกับ ตารางนัดสำคัญ กับคนพิเศษของคุณก็ตาม "เพื่อให้งานประสบความสำเร็จ ผมก็พร้อมจะทำงาน ล่วงเวลาเสมอ"
6. เรื่องทั่ว ๆ ไป
            ไป ในการสัมภาษณ์คุณอาจจะต้องพูดถึง เรื่องปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และค่านิยม ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เป็นข่าว หนังสือพิมพ์ คำถามนี้จะแสดงให้เห็นว่า คุณให้ความสนใจกับข่าวสาร บ้านเมือง ไม่เป็นคนที่ตกข่าว สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ที่เกี่ยวกับ เหตุการณ์ปัจจุบัน การทราบข้อมูลเหล่านี้ อาจทำให้คะแนน การสัมภาษณ์ ของคุณ เพิ่มขึ้นมาก็ได้
7. ความใฝ่ฝันและโครงการในอนาคต   เป็นการพิจารณาถึง ความเอาจริงเอาจังของคุณ เพราะหากคุณสามารถบอกถึง ทิศทางในอนาคตได้ นั่นก็แสดงว่าคุณสามารถรับผิดชอบ ในงานที่ได้รับ มอบหมายอย่างดีทีเดียว ก็ขนาดอนาคตที่ไม่มีใคร สามารถรู้ได้ คุณยัง วางแผนสู่อนาคต ได้อย่างเป็นระบบ นั่นก็หมายถึงว่า คุณไม่ได้มีความคิด ย่ำอยู่กับที่จริงไหม
8. คุณมีงานอดิเรกอะไรไหม  คำถามในข้อนี้จะเจาะประเด็นว่า คุณรู้จักแบ่งเวลาของคุณ ให้เกิดประโยชน์ มากน้อยแค่ไหน และแสดงให้เห็นถึง บุคลิกของคุณว่า คุณเป็นคนอย่างไร ร่าเริง เปิดเผย หรือเก็บตัว เช่น ถ้าคุณตอบว่า คุณชอบอ่านหนังสือ คุณอาจจะ ถูกถาม ต่อว่า หนังสือเล่มล่าสุดที่คุณอ่าน คือเรื่องอะไร และอาจให้คุณวิจารณ์ ถึงหนังสือเล่มนั้น ในการถามคำถามนี้ ยังสามารถได้รู้ถึง ความละเอียด อ่อนของคุณ การรู้จักสังเกต การมีปฏิภาณไหวพริบ กระทั่ง การใช้ชีวิต ร่วมกับคนอื่น ๆ อีกด้วย
9. คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่   เป็นเรื่องที่ยากมาก ในการตอบคำถามนี้ ถ้าหากว่า งานที่คุณไปสมัคร ระบุ เงินเดือนไว้แล้ว ก็เกิดความสบายใจหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ระบุถึง อัตรา ค่าจ้างเลย ก็แย่หน่อย ทางที่ดีคุณควรตอบ ตามอัตราเงินเดือน ที่คนทั่วไป ได้รับกัน เช่น อาจจะถามเพื่อน ที่ทำงาน เหมือนกับตำแหน่ง ที่คุณสมัคร หรือตอบตาม เงินเดือนราชการ ที่คุณทราบก็ได้ แต่ถ้าหากผู้สัมภาษณ์ เสนอเงินเดือน มาสูง หรือต่ำกว่า อัตราที่คุณรู้ คุณก็อย่าพึ่งตอบตกลง คุณอาจจะขอเวลาในการ พิจารณาสัก 3 วัน แล้วค่อยให้คำตอบ เพราะถ้า เกิดคุณตอบตกลงไปแล้ว และคุณมาขอขึ้นทีหลังก็เหมือนกับว่า คุณเป็นคนโลเล ไม่น่าเชื่อถือก็ได้
10.  คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกไหมหรือมีอะไรจะสอบถามไหม  เจอคำถามนี้ก็บ่งบอกว่า การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง แต่ในการตอบคำถาม ข้อสุดท้ายนี้ จะตอบอย่างไรดี ที่จะแสดงว่า เราไม่เป็นคนไม่ฉลาดออกมา เช่น คุณอาจถามย้ำ เรื่องเวลาการทำงานก็ได้ "ผมอยากทราบเวลา ที่แน่นอน ในการทำงานของผมครับ" หรือคุณอาจจะไม่ต้องการถามอะไรก็ได้ เพราะการ ไม่ได้ถามก็เท่ากับว่า คุณได้ทราบข้อมูล ของบริษัทมากพอแล้ว แต่ถ้าเกิด สงสัยจริง ๆ ก็ควรตั้ง คำถามที่ฟังแล้วดูดี และถูกใจนายจ้างของคุณ ให้มากที่สุด

            คำถามที่พูดมาข้างต้นนี้ดู ดูแล้วไม่ยากเลยใช่ไหม สำหรับการเตรียมตัว ในการ สัมภาษณ์ของคุณ แค่คุณมีความพร้อมกับ 10 คำถามเด็ด ๆ นี้ คุณก็สามารถ ชนะใจ กรรมการ ได้แล้ว อย่างน้อยมันคงมีสักคำถามล่ะ ที่ตรงกับการเตรียมตัวของคุณ และสร้าง ความมั่นใจ ในการตอบคำถามของคุณได้ แล้วอย่าลืมนำไป ปฏิบัติดูนะ เพราะสิ่งนี้ เป็นเส้นทาง ที่จะทำให้คุณสามารถได้รับ คัดเลือกเป็นพนักงาน ในบริษัทที่คุณใฝ่ฝัน ได้อย่างภาคภูมิใจ
แหล่งที่มา : http://www.friendjob.com/tip/11.php

thx:studentloan.or.th

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

แพนด้า คืออะไร (ที่ไม่ใช่หมีแพนด้าจ้า)

หลายคนคงเคยได้ยินกับ คำว่าแพนด้า บ่อยๆ และรู้ความหมายว่าคืออะไร 

แต่ก็มีบางคนก็ไม่รู้จักมันเหมือนกันฉันเองก็เป็นคนนึงที่ได้ยินคำนี้เหมือนกัน  

อยากรู้ว่าว่ามันคืออะไร เพราะมันคงไม่ใช่หมีแพนด้าแน่นอน

จึงเริ่มหาข้อมูล และก็สอบถามจากผู้ที่รู้จักได้บอกไว้ว่า  

"แพนด้า"  >>>  ชื่อเต็มๆ คือ Google panda ” เป็นชื่อเรียกของ 

อัลกอริทึม google ที่ทำออกมาเพื่อการคัดกรองเนื้อหาเว็บไซค์ 

และจัดอันดับให้กับเว็บไซค์ ซึ่งเว็บไซค์ที่ดีมีคุณภาพอัพเดทสุด

ตรงกับที่มีคนต้องการค้นที่สุด จะได้อยู่ในอันดับที่ดี

สำหรับเว็บไซค์ที่มีคุณภาพต่ำๆ (Low Quality Site) คือ 

>> ทำการก็อปปี้เนื้อหาข้อมูลมากจากเว็บไซต์อื่นๆ(Duplicate Content) 

จะถูกตัดออกจากการค้นหาใน google หรือจะไปอยู่ในอันดับท้ายๆ 

หรือหน้าหลังๆของการค้นหาของ google

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

รักแล้วอย่าวางใจ เผื่อเจ็บไว้บ้างก็ดี

หลังจากกลับบ้านก็ได้พูดคุยกับแม่ตามภาษาแม่ลูกกันปกติ สักครู่ก็มีพี่ข้างบ้านแบ่งกับข้าวมาให้ที่บ้าน

แล้วก็พูดคุยกันสักพัก จนไปถึง "เรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งที่ฉันฟังแล้วไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย มันเศร้าเกินกว่าจะทำใจ"

เรื่องมีอยู่ว่า  >>>>> มีครอบครัวหนึ่ง มีปู่ย่า ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายสองคน (ลูกของลูกชาย+ลูกสะใภ้)

ครอบครัวนี้อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับฉัน เป็นบ้านทาวน์เฮ้าสองชั้นหรือสามชั้นจำไม่ได้ ห่างกันประมาณร้อยเมตรเท่านั้น

คุณปู่เป็นทหารยศใหญ่เหมือนกัน ส่วนคุณย่าเป็นแม่บ้านรับจ้างซักผ้า ลูกชายเป็นบุรุษพยาบาล และลูกสะใภ้เป็นพยาบาล

ประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง (บ้านเกิดฉันเอง)


ฉันขอตั้งชื่อให้กับลูกชายว่า >>> เบล ฉันเรียกเค้าว่าพี่เบล

และก็ลูกสะใภ้ว่า >>> นิด แต่ฉันขอเรียกว่าพี่นิดแล้วกันติดปากมาแต่เด็ก

สองคนนี้ดูจากภายนอกรักกันมาก  ฐานะทางบ้านผู้หญิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เธอเป็นคนตั้งใจเรียนจึงทำให้สำเร็จการศึกษา

และเป็นพยาบาลสมใจ ระหว่างนั้นเธอก็คบหาดูใจกับพี่เบล และเข้าไปอยู่ในบ้านพี่เค้าในฐานะภรรยา


พ่อแม่พี่เบลก็ยอมรับเธอ เพื่อความเจริญในหน้าที่การงานจากพยาบาล พี่นิดจึงไปเรียนต่อเพื่อเป็นหัวหน้าตึกที่ วพบ.ราชรี

พี่เบลก็ไปส่งไปรับทุกวันหลังเลิกงานที่โรงพยาบาล แล้วก็ไปเรียนต่อจนจบแล้วได้เป็นหัวหน้าตึกตามตั้งใจ

พี่เบลเป็นผู้ชายไม่หล่อ แต่ดูอบอุ่น ด้วยที่พ่อเป็นทหารและมียศใหญ่จึงทำให้ดูภูมิฐาน

พี่นิดเป็นคนสวยผิวขาวหุ่นดี สมกับเป็นสาวชาวเน้อ

หลังจากนั้นไม่นาน พี่ทั้งสองก็มีลูกชื่อน้องนาย กับน้องคุณ เป็นผู้ชายทั้งคู่น่ารักมากเราเองก็เคยเล่นด้วย

คุณย่าแม่ของพี่เบลเห็นว่าที่อยู่เริ่มคับแคบแล้ว จึงไปซื้อบ้านอีกที่เพื่อให้ลูกชายลูกสะใภ้และหลานๆได้อยู่กันอย่างสบาย

มีที่วิ่งเล่น ทำกิจกรรมต่างๆกัน ด้วยความรักลูกหลานนั่นเอง

เมื่อย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ได้สองสามอาทิตย์ก็มีหนุ่มข้างบ้าน หล่อรวยเป็นนักธุรกิจและเป็นคนเหนือ

มาคุยกับพี่นิด พอแม่ของหนุ่มคนนั้นมาจากบ้านต่างจังหวัด เรียกพี่นิดเข้าไปคุยในบ้านเขาด้วย ซึ่งไม่รู้คุยอะไรกัน

ก็เริ่มมีอะไรเปลี่ยนไป จากที่พี่เบลจะไปทำงานกับพี่นิดด้วยกัน หนุ่มคนนั้นก็มารับพี่นิดที่หน้าบ้าน เลิกงานก็รับพี่นิดจากโรงพยาบาล

จากนั้นสองสามวันก็เก็บเสื้อผ้ากระเป๋าไปนอนกับผู้ชายคนนั้นซึ่งอยู่ข้างบ้านตัวเองอย่างไปรู้สึกอะไร

พอลูก น้องนาย อายุ 10 ขวบแล้ไม่เจอแม่ ก็ถามย่าว่าแม่ไปไหนไม่กลับบ้าน ย่าก็ตอบว่าแม่เข้าเวร

แม่กลับบ้านมาแล้วแต่ลูกหลับ ตอนเช้าก็ออกไปแล้วหนูตื่นไม่ทัน โดยไม่รู้เลยว่าแม่ไม่ได้กลับบ้านเพราะอยู่ข้างบ้านนี่เอง

ส่วนพี่เบลเองก็เสียใจมาก เพราะอยู่ข้างบ้านต้องเห็นอะไรตำตาตำใจที่เมียตัวเองไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น

โดยไม่ได้พูดคุยอะไรกับพี่เบลเลย แถมทำงานก็ทำที่เดียวกันอีก ต้องเห็นเค้ามารับเมียตัวเองต่อหน้าต่อตา

ทุกวันนี้หลังจากเลิกงานที่โรงพยาบาลแล้ว  พี่เบลจะมาขับวินมอเตอร์ไซค์แถวหน้าปากซอยบ้านเดิม

คงจะไม่อยากอยู่บ้านที่ให้เจ็บปวดหัวใจและไม่รู้จะตอบคำถามลูกอย่างไรดี

พี่เบลพูดแม่ของเค้าว่า "เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านหลังเก่ามีความสุขมากเพราะได้พานิดพาลูกไปเที่ยวกันทุกอาทิตย์

ย้ายมาที่นี่แม่บ้านจะใหญ่พื้นที่จะมากแต่มันไม่มีความสุขเลย ไม่คิดว่านิดจะทำแบบนี้กับเค้าได้"


ฉันเองก็ไม่เข้าใจพี่นิดเหมือนกัน แสดงว่าที่ผ่านมาไม่เคยรักพี่เบลเลยใช่ไหมอยู่กับเค้าก็หวังแต่ประโยชน์จากเค้าใช่ไหม

จิตใจทำด้วยอะไรกัน  ไม่อายชาวบ้านหรือคนอื่นบ้างเลยหรอ ไม่รักลูกเลยหรือไงแล้วถ้าลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชา


ที่โรงพยาบาลรู้ไม่กลัวจะเป็นขี้ปากหรอ เราเองก็ไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรในเรื่องนี้

แต่สงสารเด็กน้อยที่แม่ตัวเองมาทิ้งไปอย่างนี้ สงสารพี่เบลที่โดนทำร้ายความรักอย่างไม่มีเยื่อใย


>>>>>  จากชีวิตคู่ที่มีความสุข อยู่ดีๆก็เกิดเรื่องแบบนี้ ใครจะรับได้บ้าง ชีวิตคนเราอะไรๆก็ไม่แน่นอนจริงๆ

"รักแล้วอย่าวางใจ เผื่อเจ็บไว้บ้างก็ดี"









วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

พฤติกรรมการบริโภค Gen B, Gen X, Gen Y และ Gen M


พฤติกรรมการบริโภค Gen B, Gen X, Gen Y และ Gen M
Consumer Behavior : Gen B, Gen X, Gen Y, Gen M
บทความโดย : สาระดีดี.คอม/ WWW.SARA-DD.COM

Generation B (Baby Boomer Generation) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 – 2507
อายุ 44 – 62 ปี จะเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทน ให้ความสำคัญกับ
ผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้าง
เนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจาก มี
ความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างมาก ปัจจุบันนักการตลาดในหลายๆ ประเทศเน้นทำการตลาดกับกลุ่มนี้
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังซื้อ มีศักยภาพในการบริโภคสินค้า มีทัศนคติที่ดีต่อการซื้อ
จับจ่ายใช้สอยสินค้าเพื่อตัวเองและบุคคลใกล้ชิด

Generation X (Extraordinary Generation) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508 – 2522
อายุ 29 – 43 ปี มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความ
สมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work – life balance) มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำ
ทุกอย่างได้เพียงลำพังไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติงเพื่อการปรับปรุงและพัฒนา
ตนเอง ในด้านพฤติกรรมการบริโภคจะเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่กล้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทำงานในลักษณะใช้
ความคิด สมาชิกหลักในครอบครัวทำงานทั้งสองคนใช้ชีวิตแบบทันสมัย

Generation Y (Why Generation) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 – 2543 อายุ 8 – 28 ปี
เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัย
ชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการ
ความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถใน
การทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน Gen-Y
เป็นผู้บริโภคที่ใจร้อน ต้องการเห็นผลสำเร็จทุกอย่างอย่างรวดเร็วเนื่องจากเชื่อในศักยภาพของตนเอง
กลุ่มคน Gen-Y เชื่อว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตจะเกิดขึ้นต้องทำงานหนัก ทำให้มีการแต่งงานช้าลง
ไม่ถึง 30 ไม่แต่ง ถ้ามีแฟนแล้วแฟนมีอุปสรรคกับงาน ก็จะเลิกกับแฟนเลือกงาน คนกลุ่มนี้มักเปลี่ยนงาน
บ่อย มีเครดิตการ์ดมากกว่า 1ใบ ใช้บริการประเภทและมักใช้บริการ Personal Credit มากขึ้น

Generation M (Millennium Generation) อายุปัจจุบันจะอยู่ในช่วง18-24 ปี หรือในบางตำรารวม
เด็กอายุต่ำกว่า 18 ด้วย เรียกติดปากว่า เด็กแนว เป็นสมาชิกในครอบครัวที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษและ
ได้รับการสั่งสอนเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยุ มอมเมาซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอดีต เช่น ยาเสพติด
สุรา ทีวีมอมเมาเยาวชน พฤติกรรมก้าวร้าว เอดส์ รวมไปถึงการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควร Gen M เป็น
ผู้บริโภคแห่งความหวัง (Generation of Hope) ที่ผู้ใหญ่หวังว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่ตน
ทำในอดีต บุคคลกลุ่มอายุนี้จะให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษ ไม่ชอบเป็นลูกจ้าง อยาก
เป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก มีแนวทางและอิสระเป็นของตัวเองชัดเจน ชอบดู Channel V, MTV
(TaNteE.NET, 2548 : ออนไลน์) การทำตลาดของสินค้าโดยเฉพาะสินค้าด้านสุขภาพที่จะสามารถเจาะ
กลุ่มตลาดนี้ได้ในขณะที่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพแล้ว ยังต้องมีความเป็นตัวเองสูง และมีความโดดเด่น
อีกทั้งการเข้าถึงกลุ่ม Gen M หากทำในตลาดปรกติเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถสื่อสารกับ Gen M ได้
เพียงพอ เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้เปิดรับข้อมูลข่าวสารโดยใช้สื่อดิจิตอลเป็นหลัก การเข้าถึงและการทำ
ตลาดกับ Millennium Generation จึงควรมุ่งเน้นที่สื่อดิจิตอลเป็นสำคัญ




เอกสารอ้างอิง
สาระดีดี.คอม. 2552. Millennium Generation (Gen M). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.saradd.
com/index.php?option=com_content&view=article&id=40:millennium-generation-genm&
catid=25:the-project&Itemid=72
Him. 2551. Babyboomer, GenX, GenY คุณอยู่กลุ่มไหน. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=323187
TaNteE.NET. 2548. คนรู้จักของคุณอยู่ในยุคไหน?. 29 กันยายน 2548. เข้าถึงจาก
http://www.tantee.net/board/user/topic_view.php?board=Aegis&bid=1&sid=231
Yahoo! รู้รอบ ทั่วโลก. 2553. Generation X generation Y คืออะไร. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก
http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080918020008AA0meJ3

GENERATION ต่างๆ

จากที่เห็นเพื่อนโพสเรื่อง gen y ก็เลยไปอยากรู้ว่าตกลงมันมี gen อะไรบ้างก็เลยไปหาข้อมูล

และก็เลยโพสต์ไว้อ่านดู

1.เจนบี (Baby Boom Generation-Generation B) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507
บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่าง
สงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่
แบบว่าอั้นไว้นาน คน ที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของ
คนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472
ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด (การเปลี่ยนแปลงการปกครองขอประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2475 ก็มีผล
โดยตรงจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำปี พ.ศ.2472 เหมือนกัน)คนเจนบี เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบาก
ของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้อง
ใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเท
กับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน
คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากมีความจงรักภักดีกับองค์กรสูง


2.เจนเอ็กซ์ (Generation X) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2508-2522 คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเอง
ซึ่งช่วง พ.ศ.2508-2522 นี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิด
พร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation
(Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม) บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้ เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่
ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ
ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance)
พูดง่ายๆ คือไม่บ้างาน พยายามที่จะมีเวลากับครอบครัว มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง
ไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติง เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เรียกกลุ่มนี้อีกอย่างว่าพวกยัปปี้-Yuppie (Young Urban Professionals)
ว่ากันว่าบรรดาคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้นส่วนใหญ่เป็นคนเจนเอ็กซ์

3.เจนวาย (Generation Y) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2523-2543 เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็ มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร
พวกเจนวายนี้เริ่มจากการบ่นกันเองอย่างรำคาญที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันแล้วมาลงที่เด็ก (Why me?)
พวกเจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันแบบว่าชอบส่งอีเมล์มากกว่าพูดกันต่อหน้า ทำนองว่าไม่ชอบทะเลาะว่ายังงั้นเถอะ ทำให้พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก
เกณฑ์การจัดแบ่งกลุ่มคนเป็นกลุ่มช่วงอายุนี้เราใช้เกณฑ์ของอเมริกันนะ หากจะเอามาใช้ในเมืองไทยคงต้องปรับกันบ้างพอสมควรเนื่องจากเมืองไทยบ้านเรานั้น การวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีนั้นช้ากว่าสหรัฐอเมริกามากหากจะยึดหลัก อเมริกันมาใช้ในเมืองไทยเลยอาจมีปัญหา















BRUCE TULGAN , NOT EVERYONE GETS A TROPHY: How to Manage Generation Y (Jossey-Bass, March 2009

Gen Y คืออะไร


คือได้ยินคำว่า GENERATION มาหลายทีแล้ว และก็ได้อยู่ในช่วง Gen Y ด้วย เห็นเพื่อนโพสต์ไว้ ก็เลยเข้าไปอ่านในเฟส และก็เอามาแปะอ่านเผื่อมีใครสนใจเรื่องนี้ CR:Bowary Ray

Gen Y หมายถึงคนที่เกิดระหว่างปี 2521 – 2533

ที่มีให้ได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ทำให้ผู้บริหารพยายามลดอายุหรือหามาตรการทำให้เรื่อง “งาน” กลายเป็นเรื่อง “เล่น” เพื่อเอาชนะใจพวกเขา

แต่ทว่า บรูซ ทุลแกน (Bruce Tulgan) เจ้าของบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลแห่งสหรัฐอเมริกา นักพูด และนักเขียนชื่อดัง ได้เปิดตัวหนังสือ Not Everyone Gets a Trophy บอกเล่าถึงวีธีการบริหารมนุษย์งาน Gen Y ที่พลิกความเชื่อเก่า ๆ ได้หมดจด ถึงขนาดที่ว่ากันว่า นี่เป็นหนังสือเล่มแรกที่ Gen Y ยอมรับว่าเข้าใจพวกเขามากที่สุด
ที่สำคัญ หนังสือเล่มนี้ทำให้ผู้บริหารรุ่นเก่าได้รู้ว่า จะบริหารมนุษย์งานที่มีศักยภาพสูงกลุ่มนี้ได้อย่างไร

1 ส่ง Gen Y ขึ้นสู่รันเวย์ Gen Y เป็นคนที่ต้องการความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนรุ่นไหน ๆ พวกเขาพร้อมทำงานหนัก เพื่อเหินฟ้าขึ้นสู่ความสำเร็จ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่บริษัทต้องการอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารควรทำคือ เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของ Gen Y และพูดคุยตกลงกันตั้งแต่เริ่มแรกในหัวข้อต่อไปนี้

- ต้องทำให้ Gen Y รู้ว่าบริษัทพิจารณาการเลื่อนตำแหน่งหรือเพิ่มสวัสดิการจากผลงาน มิใช่เส้นสาย ประวัติชีวิต ฯลฯ ถ้ามีเงื่อนไขอื่น ควรแจ้งให้เขารู้เพื่อที่เขาจะได้เตรียมปรับปรุงตัวเอง

- ต้องทำให้ Gen Y ควบคุมตารางงานของตัวเองได้ โดยบอกเส้นตายและหลักในการพิจารณาที่ชัดเจน

- ต้องยืดหยุ่นเรื่องสถานที่ทำงาน เช่น ปล่อยให้เขาจัดโต๊ะทำงาน เล่นอินเทอร์เน็ต เปิดเพลงเบา ๆ เข้างานสาย หรือแม้แต่ทำงานที่บ้านได้ ตราบใดที่ผลงานยังคงยอดเยี่ยม
- ต้องเติมความรู้ให้พนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งที่ Gen Y กลัวมากที่สุด คือ ความล้าสมัย บริษัทจึงควรเตรียมคอร์สอบรมหรือเน้นย้ำให้เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ถ่ายทอดวิชาให้

- ต้องทำให้ Gen Y เข้าถึงตัวบอสใหญ่หรือคนที่มีอำนาจในการแก้ปัญหาได้ เพราะ Gen Y ต้องการคำตอบที่แก้ปัญหาได้จริงและทันท่วงที

- ต้องให้เครดิต เพราะ Gen Y เชื่อว่า ความสำเร็จแต่ละอย่างคือขั้นบันไดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่สูงกว่า Gen Y ไม่แคร์ว่าบันไดนี้จะทอดยาวขนาดไหน แต่พวกเขาต้องการให้มีคนเห็นว่าพวกเขาง่วนอยู่กับการก่อขั้นบันไดตลอดเวลา

- ต้องให้อำนาจแก่ Gen Y เต็มร้อย เรื่องใดที่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกน้อง เจ้านายต้องให้อำนาจแก่พวกเขาเต็มที่ เพื่อให้พวกเขาควบคุมความสวยสดงดงามของผลงานได้อย่างแท้จริง

- ต้องให้ Gen Y มีอิสระภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ไม่จำเป็นต้องทุกเรื่อง เรื่องใดที่เขาไม่มีสิทธิ์ เจ้านายควรบอกให้ชัดเจนด้วย

2 สอนงานอย่างเร่งด่วน จากการวิจัย Gen Y มากว่า 20 ปี ทุลแกน ยืนยันว่า Gen Y เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นสูงลิบ หัวหน้างานควรสอนงานและบอกเล่าสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานให้ Gen Y เข้าใจอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อให้เขาทำงานของตัวเองได้โดยลำพัง เพราะถ้าหัวหน้างานอ้างว่า “ไม่มีเวลาสอน” พวกเขาจะโต้กลับทันทีว่า “การที่คุณไม่สอนต่างหากที่ทำให้ฉันเสียเวลา”

3 สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร ทุลแกน เรียกบรรยากาศนี้ว่า Loco Parentis หมายถึง บรรยากาศของความห่วงใยที่ผู้ใหญ่มีให้คนที่อ่อนวัยวุฒิกว่า หัวหน้างานควรเข้าใจจุดเด่นและจุดด้อยของลูกน้องแต่ละคน คุณอาจเริ่มให้ความใส่ใจพวกเขาด้วยการทักทายกันเมื่อพบหน้า และจบบทสนทนาด้วยคำแนะนำที่มีประโยชน์ ให้ความจริงใจ อีกทั้งต้องพูดคุยปรึกษากับพวกเขา หรือตั้งรางวัลพิเศษสำหรับการทำงานที่เพิ่มขึ้นแต่ละครั้ง

4 แก้ปัญหาการปรับตัว ปัญหาที่ Gen Y มักพบในที่ทำงานคือ การปรับตัว เนื่องจาก Gen Y จะใช้ ความเป็นเพื่อนในการปฏิสัมพันธ์กับคน และไม่สนใจลำดับขั้นหรือสายการบังคับบัญชา ดังนั้นเจ้านายจึงควรสอนวิธีการปรับตัวและวิธีเอาตัวรอดในที่ทำงานให้พวกเขา เริ่มตั้งแต่การพิจารณาบทบาทและหน้าที่ของตนเอง การทำงานร่วมกับคนอื่น การแก้ปัญหาโดยไม่ต่อสายตรงถึงเจ้านายของเจ้านายในทันทีทันใด แต่ให้มีการเปิดประชุมย่อยที่มีเขา มีคุณ และบอสของคุณเข้าร่วมด้วย เป็นต้น

5 ปลูกฝังการบริการ ประโยคเด็ดที่หัวหน้างานควรบอกลูกน้อง Gen Y คือ “ในที่ทำงานนั้น นอกจากตัวเองแล้ว ให้ถือว่าคนอื่นเป็นลูกค้า” วิธีนี้นอกจากจะสามารถเอาชนะใจลูกค้า ซึ่งเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัท (แต่ Gen Y มักมองไม่เห็น) แล้วยังทำให้พวกเขาสามารถแก้ปัญหาการปรับตัวในที่ทำงานอย่างได้ผลด้วย

6 สอนวิธีบริหารตัวเอง Gen Y ชอบผนวกไลฟ์สไตล์เข้ากับชีวิตการทำงาน และมักมีปัญหาด้านการบริหารเวลา ทุลแกน จึงสรุปว่า “ของขวัญที่ดีที่สุดที่หัวหน้างานจะให้ได้คือ การสอนให้เขารู้จักแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ออกจากกัน อีกทั้งต้องสอนวิธีกำจัดการใช้เวลาอย่างไร้ประโยชน์ออกไป” เช่น สอนการวางแผน การทำเช็คลิสต์ การประเมินตนเอง การตัดสินใจ โดยใช้เหตุผลรอบด้าน ฯลฯ

7 เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ลูกน้อง Gen Y ของคุณควรรู้ว่าเขากำลังทำงานอยู่ภายใต้หัวหน้างานที่

O โปร่งใส อย่าบ่นว่าทำไมลูกน้องไม่ทำสิ่งที่ควรทำ แต่ให้บอกพวกเขาไปตรงๆ ว่าคุณต้องการอะไรบ้าง

O เด็ดขาด เมื่อออกกฎใดๆ มาแล้ว คุณต้องรักษากฎอย่างเคร่งครัด ไม่ลำเอียง และจำไว้ว่า การเชิญพนักงานที่ไม่เอาไหนออกหนึ่งคน จะทำให้พนักงานที่เหลืออยู่ขยันมากขึ้นทันตาเห็น

O โฟกัสที่วิธีการแก้ปัญหา ไม่ใช่ที่ตัวปัญหา

8 เก็บรักษาลูกน้องคนเก่ง Gen Y มักโดนค่อนขอดว่า “เปลี่ยนงานบ่อย” แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาจะลาออกก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าทำงานแล้วไม่มีความสุข หรือทำงานหนักไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นต่างหาก ดังนั้นถ้าหัวหน้างานไม่อยากปล่อยให้พนักงานเก่ง ๆ หลุดมือไป ควรหาวิธีเก็บพวกเขาไว้ด้วยการหาช่องทางหรือโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานเพื่อดึงดูดคนพวกนี้ไว้ เป็นการเพิ่มผลประโยชน์แก่บริษัท ในขณะเดียวกับที่ได้เพิ่มผลประโยชน์ให้พนักงานด้วย

9 ปั้นดาวดวงต่อไป คุณควรส่งเสริมลูกน้องที่มีแววอย่างสุดตัว โดยมอบหน้าที่ด้านการบริหารและอำนาจที่แท้จริง อีกทั้งต้องทำให้ผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ทราบว่า เขา หรือ เธอ คือคนเก่งของคุณ นอกจากนี้คุณควรให้เวลาดูแลพวกเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง และหมั่นปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ

ไม่ว่า Gen Y จะทำให้บรรดาหัวหน้างานลำบากใจแค่ไหนก็ตาม แต่เราอย่าลืมว่า คนรุ่นนี้คือ หัวหน้างาน เจ้านาย หรือ บอส ซึ่งจะขับเคลื่อนสังคมรุ่นต่อไปนั่งเอง
และ.... คนไฟแรงอย่างพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากผู้นำที่เข้มแข็งและใส่ใจเช่น “คุณ”

สัมภาษณ์งานตำแหน่ง Sales กับบริษัทแสนสิริ


วันนี้ได้มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทแสนสิริจำกัดมหาชน

ซึ่งบริษัท ทำธุรกิจเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์

ในตำแหน่ง Sales ซึ่งจริงๆแล้วได้  สมัครงานที่นี่ไว้ใน 2 ตำแหน่ง  คือ CSR กับ Sales

แต่เค้าเรียกตำแหน่ง Sales อาจเห็นว่าเราเคยทำด้านนี้มาก่อน

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นัดสัมภาษณ์ตอนเวลา  15.30 น. (บ่าย 3)  4 มี.ค. 56 ณ อาคารสิริภิญโย ชั้น 12

พูดเลยว่า การสัมภาษณ์งานครั้งนี้ ไม่ได้เตรียมตัวอะไร

เสื้อผ้า หน้าผม รองเท้า ไม่พร้อมเลย แต่พยายามทำตัวเองให้บุคลิกพร้อมที่สุด

ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้สูงนัก  เพราะเราไม่พร้อมจริงๆ แต่จะทำให้เต็มที่ที่สุดเท่านั้น

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ระหว่างเดินทางไปสัมภาษณ์ ฝนกำลังจะตกเลยจ้า จากแผนที่วางไว้ว่าจะเดินทาง

โดยรถเมล์ 140 ก็ผิดเป้า  เลยจัดแท็กซี่ไปเลย พอขึ้นถนนวงแหวนเท่านั้น

คุณพี่แท็กซี่บอกว่า น้องไป BTS เถอะเดี๋ยวจะไม่ทัน อ้าว ว่างั้นไปทำไมมาบอกตอนนี้

คุณเธอบอกจะไปส่ง BTS สาทร กำเสียแล้วทีเนี้ย ถ้าบอกตอนแรกว่าจะไม่ไป

ก็ไปส่ง BTS วงเวียนใหญ่ซิจ๊ะ เพราะใกล้กว่า นี่ฉันกำลังโดนแท็กซี่หรอกอีกแล้ว

โดนค่ารถพอๆกับที่จะไปสัมภาษณ์งานเลย  แถมยังต้องมาต่อ BTS เสียเงินเพิ่มอีก

ลงจาก BTS ไม่ลืมหูลืมตาเลย นั่งมอเตอร์ไซค์ค่ะ บอกพี่วินว่าไปอาคารสิริภิญโญ

พี่แกก็ว่าคุ้นๆ ไปกลับรถแล้วพาเข้าซอย แล้วก็หาไม่เจอ ขี่ย้อนกลับมาทางลัด

เข้าทางโรงแรมม่านรูดจ้า ไอ้เราก็ระแวงนิดๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกระโดดลงลงเเน่นอน

แต่ก็ไม่มีอะไร โผล่ออกมาถนนใหญ่ ฝั่งพหลโยธินจ้า ย้อนกลับมา อ้าวอาคารมันติดถนนเลยหรอเนี่ย

ถ้าลง BTS แล้วเดินย้อนขึ้นมา 200 เมตร ก็ถึงแล้ว ไอ้เรานี่จะบ้าไปไหนเนี่ย มิน่าว่าทำไมพี่วินลดราคาให้

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลงจากรถก็หัวเราะตัวเอง  พอเดินเข้าไปที่อาคาร ก็มุ่งหน้าไปชั้น 12 ที่นัดเลยจ้า

ถึงที่นัดหมายก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ถือว่าโอเค ได้เตรียมพร้อมนิดหน่อย

เข้าไปถึงมีการทำ test ก่อน สัมภาษณ์ เพื่อวัดศักยภาพของผู้สมัครงานว่ามีพื้นฐานหรือไม่

แบบทดสอบแบ่งเป็น  microsoft word และ microsoft excel ให้ทำตามคำสั้งที่เค้าให้มา

ถามว่ายากไหม  สำหรับฉันถือว่า ไม่ยากเลยเพราะเป็นพื้นฐานการใช้งานจริงๆ ไม่ซับซ้อน

ถือว่าในหมวดนี้ ฉันได้คะแนนเต็มแน่นอน  แต่ก็มีบางคนทำไม่ได้ เพราะจากที่เข้าไปทำ

test  มีเพื่อนผู้ร่วมสมัครแอบกระซิบถามว่าทำยังไง เราก็บอกไปจนหมด  คือจริงๆก็ไม่สมควรถาม

เพราะเป็นการทดสอบเพื่อคัดเลือกต้องแข่งขันกัน  ผู้มีความสามารถที่สุดที่จะได้เข้าไปทำงาน

และอีกอย่างเหมือนไม่ให้เกียรติกันเลย กับบริษัทที่สมัคร ตัวเค้าเอง และก็ตัวเราด้วย

แต่ก็ช่างมันเถอะถือว่าได้ช่วยเค้าเราก็ไม่เสียหายอะไร ถือเป็นการช่วยนิดๆหน่อยๆ

ซึ่งทำเสร็จก็มีการตรวจเลย  ขณะนั้นฉันแอบเปิดไฟล์ในเครื่องที่ทำ ยังไม่เจอใครทำครบทุกขั้นตอนที่กำหนดเลย

จึงเข้าใจว่า คนที่เขาทำไม่เป็นเลยก็คือ ทำไม่เป็นเลย  เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาอ่านนี้ หากจะไปทำงาน

ไม่ว่าจะบริษัทใด หรือตำแหน่งใดก็ตาม ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐานไว้ ทำไม่เป็นก็หาข้อมูลเพิ่มเติม

จากนั้นก็เป็นการทำ test  เกี่ยวกับทัศนะคติของเรา อันนี้ไม่มีผิดถูก แต่เป็นการแสดงความเป็นตัวตนออกมา

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จากนั้นก็เข้าห้องเชือดจ้า  การสัมภาษณ์งานจะขาดไม่ได้เลยที่จะไม่ผ่านด่านนี้

ผู้ทำการสัมภาษณ์เกี่ยวสิบคน ต่อผู้หนึ่งคนผู้ถูกสัมภาษณ์  ตอนนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน

เพราะไม่รู้เรื่องการเป็น  Sales ขายบ้าน คอนโด ทาวเฮ้า ทาวโฮมเลย

มีการถาม พูดคุย ใช้เวลาสักครู่ใหญ่เหมือนกันนะกว่าจะได้ออกจากห้องนั้น

จากการสัมภาษณ์ครั้งนี้  รู้สึกว่ามีความสนุกดี ที่ทำให้ผู้สัมภาษณ์เราได้อมยิ้ม หัวเราะ

ซึ่งผู้สำภาษณ์บอกว่า ไม่เคยได้รับรู้ และเคยเจออารมณ์นี้เลยที่ผ่านมา ไอ้เราก็คิดในใจดีหรือร้ายล่ะเนี้ย

เราเองก็ไม่เคยถูกสัมภาษณ์งาน และสัมภาษณ์อย่างอื่น เมามันสนุกอย่างนี้มาก่อนเหมือนกัน

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับการสำภาษณ์ครั้ง  ได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น  มีทักษะบางอย่างเกิดขึ้นในตัวเรา  และทำให้ความรู้

ที่ไม่เคยได้รับจากที่ใดเหมือนกัน  ผลว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องคอยดู ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะเราไม่ได้เตรียมตัว

แต่ถ้าได้ ก็แสดงว่า เรากับที่ทำงานนั้นจูนกันติด

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ใครอยากสอบถามรายละเอียดอะไรก็แจ้งไว้ได้  หากได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์งานที่นั่น

หรือสัมภาษณ์ในตำแหน่ง Sales เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับท่าน  ถ้าตอบได้ดิฉันยินดีตอบทุกคำถามค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำเงิน จากการ เข้าเยี่ยมชมเว็บไซค์

อะไรมันจะง่ายดายปานนั้น แค่เข้าไปก็ได้เงินอีกแล้ว ค่ะ

ในส่วนของ Traffic overview เป็นคลิ๊กดูเว็ปไซค์แค่เวลา 15 วินาที เอง

เดี๋ยวจะมาลงรูปให้ดูอีกเหมือนกันค่ะ มาอธิบายไว้ก่อนเผื่อใครจะใจร้อนทำก่อนได้เลยค่ะ

มาแล้วจ้าดูภาพประกอบได้เลยค่ะ ดูเว็บก็ได้เงินค่ะ ^_______^

1. ไปที่ Your Account คลิ๊กที่ Traffic Overview ค่ะ



2. จะปรากฎเว็บให้กดเข้าไปดูจ้า เราก็คลิ๊กเข้าไปเลย ตามรูปด้านล่าง


3. กดเข้าไปแล้วจะมีหน้าเว็บที่เค้ากำหนดให้ดูขึ้นมาค่ะ เราก็รอเวลาให้ครบ ไปทำอะไรรอก็ได้ 





4. ครบตามเวลาที่กำหนด กับรับเครดิตเลยค่ะ




ทำเงิน จากการ เข้าไปดู youtube



แค่เปิดไปดูก็ได้เงินแล้วค่ะ แต่ถ้าเราจะปั่นเงินไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ เปิดทิ้งไว้ก็เปลี่ยนหน้าไปทำอย่างอื่นได้จ้า

YouTube overview หาเงินโดยการเปิดดูยูทูปแค่ 30 วินาที ซึ่งจะจับเวลาโดยการนับถอยหลัง 

เมื่อหมดเวลาแล้ว ต้องกด Get Credit ห้ามลืมเด็ดขาด ไม่งั้นจะไม่ได้ตังค์นะจ๊ะ

เดี๋ยวจะมาลงรูปให้ดูนะจ๊ะ ^^


1. คลิ๊กที่ Your Account และคลิ๊ก >>> Youtube Overview



2. จะมีรายการยูทูปให้กดเข้าไปดูกันจ้า  ตามภาพด้านล่างก็คลิ๊กเข้าไปเลย เสร็จแล้วหน้าของยูทูปจะเด้งขึ้นมาให้เราได้ดูกัน



3. ครบ 30 วินาที แล้วก็ไปกดรับเครดิตเลยจ้า >>> gar Credits ห้ามลืมนะเดี๋ยวอดเงิน ดูไปเรื่อยๆจนกว่าคลิปจะหมดเลยจ้า สุดท้ายไปกด update credits ด้วยนะ



ติดตามต่อ >>> ทำเงิน จากการ เข้าเยี่ยมชมเว็บไซค์  >>>  คลิ๊ก



ทำเงิน จากการ กด follow บน twitter

หลังจาก กด Like บน Facebook จนมันมือกันแล้ว ต่อไปมาเริ่ม การ follow บน twitter ไม่ให้เสียเวลากันเลยค่ะ ขั้นตอนเหมือนกันกับ Facebook เลยจ้า

เชื่อมต่อ Fanslave กับ Twitter

1. ไปที่ เมนู Your Account คลิ๊กที่ Twitter Overview และก็คลิ๊กที่ปุ่ม Connect ตามรูปด้านล่าง




2. จะมีหน้าต่างของ twitter ขึ้นมา ให้เราเข้าสู่ระบบ กด Sign in with Twitter และก็กรอกชื่อบัญชีและรหัสผ่าน คลิกเข้าสู่ระบบ


3. รอการเชื่อมต่อไปยัง Twitter กันเลยค่ะ ก็จะเปลี่ยนเป็นหน้าต่างแบบนี้ตามด่านล่าง



4. กลับไปยังหน้าของ Fanslave ด้านข้างซ้ายจะมีรายการให้เรากด follow เหมือนกดไลค์เลยค่ะ เราก็กดไปทีละอัน แล้วจะไปยังหน้าต่างของ twitter และก็กด follow ทำจนครบแค่นี้ก็ได้เงินแล้วค่ะ

5. follow ครบแล้ว อย่าลืมกด update credits นะคะ 

ติดตามต่อค่ะ >>> ทำเงิน จากการ เข้าไปดู youtube  >>>   คลิ๊ก

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำเงิน จากการ กด like บน facebook

เราสมัครเป็นสมาชิกกับ Fanslave เรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะเป็นการทำเงินแล้วค่ะ อยากรู้แล้วใช่หรือเปล่า

แต่ก่อนอื่นเราต้อง มี Facebook เป็นของตัวเองก่อนนะคะ ส่วนใหญ่ก็มีกันแล้วก็สามารถใช้ได้เลย

หรือไม่ก็สร้างอันใหม่เอาไว้หาเงินก็ได้นะคะ  อันนี้แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนเลยค่ะ


*** ข้อกำหนด ที่ Fanslave มีต่อ Facebook คือต้องมีเพื่อนอย่างน้อย 5 คนขึ้นไปค่ะ 


เชื่อต่อ Fanslave กับ Facebook

1. ล็อกอินเข้าระบบของ Fanslave ค่ะ คลิ๊กที่นี่ (ถ้าอยู่ในระบบแล้วก็ข้ามไปข้อสองเลยค่ะ)



2. ไปที่ เมนู You Accout คลิ๊กที่ Facebook Overview ตามรูปด้านล่าง




3. คลิกที่ปุ่ม ตามภาพด้านล่าง





4. เสร็จจะลิ้งไปยังหน้า Facebook ถ้ายังเข้าระบบก็ ล๊ออินก่อน ถ้าล๊อกอินแล้วจะพบกับหน้า แอพขึ้นมา

ให้กด ปุ่มสีน้ำเงินตัวอักษรขาว ไปยังแอพ หรือ Go to App เพราะบางคนใช้เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ


5. เมื่อเชื่อมต่อเสร็จแล้ว จะมีหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมาค่ะ ให้กด close ได้เลย



6. ตอนนี้เราก็จะสามารถ คลิก Like หาเงินได้แล้วค่ะ ให้เข้าไปที่ Fanslave แล้วคลิ๊กเพจที่ปรากฎ

7. จะมีหน้าเพจขี้นมา ให้เรากด Like เลยจ้า  

8. เมื่อกด Like แล้ว จะเป็นแบบด้านล่าง เป็นปกติที่เรากด Like เสมอค่ะ



9. ทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่า เพจที่ให้ กด Like จะหมดไปค่ะ อยากได้เงินมากเท่าไหร่ก็คลิ๊กตามนั้นจ้า

10. เมื่อเราคลิ๊ก Like เพจหมดแล้ว ให้คลิ๊ก ปุ่ม Update Credits ระบบจะอัพเดต Credits และ Cash ให้เราจ้า




ไม่อยากเลยเห็นไม่คะ ลองทำดูกันนะ ว่างๆก็ทำไปดีกว่าปล่อยไปให้เสียประโยชน์

เพราะส่วนใหญ่เราก็อยู่บนโลกอินเตอร์กันบ่อย


นอกจากกด Like Page บน Facebook แล้ว เรายังสามารถทำเงินได้อีก โดยการกด follow บน twitter  

เข้าไปดู youtube  และการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซค์ ซึ่งทำไม่ยากเลยขั้นตอนก็คล้ายการ Like Facebook ค่ะ


ต่อไป >>> ทำเงิน จากการ กด follow บน twitter ติดตามต่อ >>> คลิ๊กเลยค่ะ




สมัครเป็น สมาชิก Fanslave ก่อนทำเงิน

จะเริ่มทำเงิน กับ Fanslave ได้ เราต้องเป็นสมาชิกก่อนค่ะ

สำหรับการสมัครสมาชิกนั้น ไม่ยุ่งยากและทำได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

ขั้นตอนการสมัครทำได้ดังนี้ค่ะ

1. คลิ๊กที่ลิ้งนี้ค่ะ >>> สมัครสมาชิก Fanslave

2. จากนั้นให้คลิ๊กที่ >>> Join now for free    (ตัวหนังสือสีขาวบนวงกลมสีแดง ตามรูปด้านล่าง)

หน้าแรกที่คลิ๊กลิ้งเข้าไปแล้วจะเจอแบบนี้ค่ะ




3. กรอกรายละเอียดต่างๆ ตามรูปแล้วกด >>> I ACCEPT CREATE MY ACCOUNT


 




4. เสร็จสิ้นการสมัครแล้วค่ะ จะมีอีเมลล์จาก Fanslave แจ้งให้รับทราบว่าสมัครสมาชิก 

ซึ่งอาจต้องรออีเมลล์สักหน่อย แต่เราก็สามารถเข้าสู่ระบบ ของ Fanslave ได้เลยจ้า

หน้าตาอีเมลล์ที่คุณจะได้รับ



5. ล็อกอินเข้าระบบ โดยใช้ Username กับ Password ให้ตรงกับที่สมัครไว้ตอนแรก  >>> คลิ๊กที่นี่



6. เมื่อ ล็อกอินแล้วจะปรากฎหน้าต่างตามด้านล่างค่ะ ถือว่าเป็นการสมัครสมาชิก Fanslave เรียบร้อยแล้ว




7. อธิบายส่วนต่างๆที่สำคัญก่อนทำเงินนะคะ เพื่อประโยชน์ของคุณผู้อ่านจ้า



อธิบายตามหมายเลขค่ะ

เลข 1 เป็น Credits จากที่เราคลิ๊ก  Like, Follow, ดู Youtube หรือการเยี่ยมชมเว็บไซค์

เลข 2 คือ Cash เงินที่เราจะได้รับ หน่วยยูโร (1 ยูโร ประมาณ 38 บาท)

เลข 3 คือ จุดที่ใช้เชื่อต่อการทำเงินของเรา ที่ปรากฎคือ การเชื่อม facebook ซึ่ง Youtube, twitter ก็จะปรากฎเหมือนกัน

เลข 4 คือ การโปรโมทของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวน Like >>> Page บน Fackbook, 

                การเพิ่มยอด view บน Youtube เป็นต้น แต่เราจะต้องเสียเงินด้วยนะจ๊ะ อาจจะมาบอกวิธีใช้จ้า

เลข 5 คือ รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลทางบัญชีของเรา


ต่อไป เป็นการทำเงิน จากการ กด like บน facebook นะคะ ติดตามต่อ >>> คลิ๊กเลยค่ะ



รู้จักกับ Fanslave & ขั้นตอนทำงาน Fanslave

                                               


บริษัทที่ตั้งของ Fanslave ตั้งอยู่ในประเทศเยอรันนี

เป็นบริษัทที่จัดตั้ง และมีการทำงานอย่างถูกกฏหมาย

ทำงานเกี่ยวข้องกับการทำโฆษณาให้องค์กรต่างๆ

ผ่านระบบ Social network คือ facebook และ twitter

บริษัทและองค์กรต่างๆ จะจ้างให้ Fanslave ทำการโฆษณา

สู่สาธารณะ  และ Fanslave ก็จ้างเราอีกทีนั่นเอง และนี่ก็เป็นที่มาที่เราจะหาเงินค่ะ


ขั้นตอนต่อไปต้องสมัครสมาชิก Fanslave ก่อนทำเงินนะคะ

วิธีการสมัคร คลิ๊กอ่านต่อได้เลยจ้า >>> สมัครเป็น สมาชิก Fanslave ก่อนทำเงิน





หาเงินออนไลน์ตอนที่ 1 จาก facebook, twitter, youtub, google+



"มาแล้วจ้า กับการหาเงินออนไลน์ครั้งแรกในชีวิตของฉัน"

ทำอย่างไรหรอ ก็แค่ >>>> คลิ๊ก like ที่ fackbook และก็ follow บน twitter เท่านั้นเองจ้า

อยากรู้กันแล้วล่ะซิว่า ทำยังไง วันนี้จะมาเปิดเผยสำหรับคนที่ไม่อยากให้เงินหลุดลอยไปนะจ๊ะ

ระบบหาเงินที่นำมาบอกกันนี้ เป็น ระบบของ Fanslave นั่นเอง


Fanslave คือ ระบบที่ใช้สำหรับโปรโมท fanpage ใน facebook โดยใช้การกด like

เพื่อโปรโมท facebook  สนันสนุนการทำธุรกิจผ่าน social media อย่าง facebook นั่นเอง

บริษัทที่ตั้งของ Fanslave อยู่ในประเทศเยอรมันนี  การกระจายของกลุ่มคนใช้งานจะอยู่ในแถบ

ยุโรปส่วนใหญ่ แต่ถ้าเรารู้ระบบนี้ก็สามารถหาเงินได้จ้า

สำหรับค่าตอบแทน Fanslave จะจ่ายให้เรา 4 Credits ค่ะ 

ขอแบ่งขั้นตอนตามนี้นะเพื่อความเข้าใจง่ายๆค่ะ ลองอ่านดูและทำตามไปด้วยนะ

คลิ๊กไปทีละหัวข้อตามลิ้งไปเลยค่ะ

1. รู้จักกับ Fanslave & ขั้นตอนทำงาน Fanslave

2. สมัครเป็น สมาชิก Fanslave ก่อนทำเงิน

3. ทำเงิน จากการ กด like บน facebook   

4. ทำเงิน จากการ กด follow บน twitter     

5. ทำเงิน จากการ เข้าไปดู youtube

6. ทำเงิน จากการ เข้าเยี่ยมชมเว็บไซค์

7. การรับเงิน จาก Fanslave                       >>>   (กำลังจัดทำ)

******  อนนี้มีแบบกด + กับ google+ แล้วนะ ใครมีบัญชี gmail ก็เป็นอีกทางที่ได้เงินจ้า






วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ศึกษาและเก็บความรู้

วันๆเป๊ปเดียวก็หมดแล้ว เวลามันจะเดินอะไรเร็วนักนะ
ยังทำอะไรไม่เต็มที่เลย เพราะฉะนั้นต้องรีบทำอะไร
ในหนึ่งวันให้ได้มากที่สุด

ก็มาถึงเวลาแล้วซินะที่ต้องศึกษาและหาความรู้
แต่ก็คงยังมึนๆและงงๆอยู่แหละ เกิดคำถามในใจมากมายว่า
>>>>>> จะอ่านอะไร ศึกษาเรื่องอะไร วุ่นวายใจไปหมดเลย
เดี๋ยวยังไงก็ไปเปิดอากูก่อนแล้วกัน ว่าจะทำอะไรต่อไป
make-money-468x60